โบรกฯ ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” CBG เป้าสูงสุด 138 บ. คาด Q2 ฟื้น กำไรทั้งปีแตะ 3.6 พันลบ.

โบรกฯ ประสานเสียงเชียร์ "ซื้อ" CBG เป้าสูงสุด 138 บ. คาดผลงาน Q2/64 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน หลังพ้นจุดต่ำสุดใน Q1/64 พร้อมคาดการณ์กำไรทั้งปีโตแตะ 3.6 พันลบ.


บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (28 พ.ค.64) แนะนำ “เก็งกำไร” บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ราคาเป้าหมาย 132.00 บาท (เดิม 150.00 บาท) อิง PER ที่ 36 เท่า โดยคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน จากคำสั่งซื้อในเมียนมาร์ที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัว หลังเริ่มเห็นสัญญาณดีมานด์ที่เพิ่มมากขึ้น แม้การห้ามนำเข้าสินค้าเครื่องดื่มผ่านทางบกในเมียนมาร์ เริ่มวันที่ 1 พ.ค. 2564 ( ในที่นี้รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลัง) ส่งผลให้ระยะเวลาขนส่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 สัปดาห์ (เดิมไม่เกิน 1 สัปดาห์ ) แต่เป็นปัจจัยเร่งคำสั่งซื้อในเดือน เม.ย. 2564 รวมถึงกัมพูชาที่คาดว่าคำสั่งซื้อจะกลับมาดีขึ้น หลังมีการผ่อนคลายล็อคดาวน์ในช่วงต้นเดือน พ.ค. 2564

นอกจากนี้บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ วู๊ดดี้ ซี+ล็อค คอลลาเจน มิกซ์เบอร์รี่ เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2564 ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนรักสุขภาพและความสวยงาม

สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 คิดเป็น 16% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 สะท้อนปัจจัยลบจากการได้รับผลกระทบจากการรัฐประหารในเมียนมาร์และการล็อคดาวน์ในกัมพูชา ส่งผลให้ยอดขายลดลง ทำให้ปรับประมาณการรายได้รวมปี 2564-2565 ลง 10% และ 13% เป็น 18,643 ล้านบาท และ 20,311 ล้านบาท และปรับอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 39.5% และ 41.2% (เดิม 42% และ 42.3%) ตามลำดับ จากต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ลง 17% และ 15% เป็น 3,651 ล้านบาท และ 4,205 ล้านบาท

ทั้งนี้ CBG รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 700 ล้านบาท ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ 20% จากไตรมาสก่อน ต่ำกว่าตลาดคาด 11% มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,030 ล้านบาท ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ 5% จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากปริมาณค าสั่งซื้อของเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศลดลง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่ยอดขายลดลง 25% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน (คิดเป็น 37% ของรายได้รวม) เนื่องจากมีเหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมาร์และการล็อคดาวน์ในหลายเมืองของกัมพูชา แม้ยอดขายในประเทศเติบโต 17% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

ด้านอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 38.6% ต่ำกว่าไตรมาส 1/2563 และไตรมาส 4/2563 ที่ 42.4% และ 39.3% ตามลำดับ เป็นผลมาจากอัตรากำไรของสินค้าที่ส ่งออกไปต่างประเทศลดลง และน้ำตาลและอลูมิเนียมซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญมีราคาที่สูงขึ้น

โดยปี 2564 บริษัทตั้งเป้าเติบโตจากจีนเป็นหลัก คาดว่าเติบโตต่อเนื่องทั้งปี รวมถึงยอดขายไตรมาส 1/2564 ในเมียนมาร์และกัมพูชาคาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี และจะฟื้นตัวในไตรมาสถัดไป ขณะที่ยอดขายในประเทศคาดว่าจะเติบโตได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (28 พ.ค.64) แนะนำ “ทยอยซื้อ” CBG ราคาเป้าหมาย 135.00 บาท โดยมองว่ากำลังซื้อประเทศเมียนมาร์ค่อยกลับมาดีขึ้นหลังผ่านช่วงรัฐประหาร 3 เดือน บวกกับการเร่งสั่งซื้อก่อนห้ามนำเข้าสินค้าผ่านทางบก (เริ่ม 1 พ.ค.64) ซึ่งต้องใช้เรือแทน ทำให้ขนส่งนานขึ้น แต่ไม่กระทบต้นทุน เนื่องจากลูกค้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ขณะที่กัมพูชาผ่อนคลาย Lockdown มากขึ้น ตั้งแต่ต้น พ.ค. เป็นต้นมา

ทั้งนี้ แม้ในประเทศต้องเผชิญกับการระบาดใหม่แต่ยังเติบโตดีจากเครื่องดื่ม “Woody C+ Lock” ทั้ง 2 รสชาติ อีกทั้งยังออกรสชาติใหม่ผสมคอลลาเจน ช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 2/2564 แม้คาดว่าย่อตัวจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนจากฐานสูง บวกกับต้นทุนอลุมิเนียมเพิ่มขึ้น แต่ฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนตามยอดขาย CLMV ที่เพิ่มขึ้น, จีนฟื้นตัวแรงตามการบริโภคในประเทศที่ดีขึ้น อีกทั้งเป็น High Season และซื้อหุ้น บ.”ACM” เพิ่มเป็น 100% ตั้งแต่ มี.ค. 2564 ทำให้รับรู้กำไรมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 1/2564 ต่ำกว่าคาดการณ์มาก จึงปรับลดประมารการทั้งปีลง โดยให้ราคาพื้นฐาน 135 บาท

ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) (28 พ.ค.64) แนะนำ “ซื้อ” CBG ราคาเป้าหมาย 138.00 บาท โดยมีมุมมองเป็นบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ (27 พ.ค.64) มีประเด็น ดังนี้

1. สำหรับปี 2564 ผู้บริหารคงเป้ารายได้รวมเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน (Domestic เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน, Export เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) โดยรายได้ CLMV ขยายตัว high single digit, จีน เพิ่มขึ้น 263% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

2. ผู้บริหารคาดว่า domestic energy drink ในไตรมาส 2/2564 จะขยายตัวจากไตรมาสก่อน จากฤดูร้อน ทำให้คนบริโภคเครื่องดื่มชูกำลัง โดย CBG มีแผนที่จะออก functional energy drink ในครึ่งปีหลัง 2564 สำหรับ Woody C Lock ที่ออกรสใหม่ในเดือนเม.ย. ได้รับการตอบรับที่ดี (ยังคงเป้ารายได้ปี 2564 ที่ 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) นอกจากนี้ยังมั่นใจว่าจะเป็น first mover ในตลาดเครื่องดื่มผสมกัญชง

3. คาดว่ารายได้จาก Myanmar และ Cambodia ในไตรมาส 2/2564 ขยายตัวจากไตรมาสก่อน มองว่า bottom out ไปแล้วในไตรมาส 1/2564 โดยเฉพาะ Myanmar เริ่มเห็น demand ที่เพิ่มขึ้นในเดือน เม.ย. 2564 (All Time High) สำหรับตลาดจีน จะเข้าสู่ high season ในไตรมาส 2-3/2564 คาดรายได้ขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน, จากไตรมาสก่อน

4. GPM ในไตรมาส 2/2564 จะลดลงจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน, จากไตรมาสก่อน จากผลกระทบของ aluminum coil ที่ราค่าสูงขึ้น (คาดกระทบ GPM ของ overseas 1%)

5. CBG อยู่ระหว่างศึกษาการปรับสูตรลดน้ำตาล ซึ่งมีโอกาสปรับสูตรได้เร็วสุดในครึ่งปีหลัง 2564 หากปรับสูตรลดน้ำตาลเหลือ 0-6 g/100 ml จะมี cost saving ที่ 320 -340 ล้านบาทต่อปี จาก excise tax และต้นทุนน้ำตาลที่ลดลง

ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าผลประกอบการไตรมาส 1/2564 เป็นจุดต่ำสุดของปี คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2/2564 เป็นต้นไป ดังนั้น คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 3,637 ล้าน บาท (เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) หนุนโดย 1.รายได้รวมขยายตัว 10% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากรายได้ domestic branded own เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน โดยรายได้เครื่องดื่มชูกำลังขยายตัว 4% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และรับรู้รายได้จาก Woody C+Lock เต็มปี, รายได้distribution for 3 rd party ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และรายได้จากต่างประเทศขยายตัว 3% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากผลกระทบของสถานการณ์การเมืองในพม่าและการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ในกัมพูชา,

2. GPM ที่ 38.4% ลดลงจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จาก GPM ของต่างประเทศปรับตัวลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

3. SG&A to total sales ปรับตัวลดลงจากค่าใช้จ่าย sponsorship ที่ลดลงสำหรับปี 2565 โดยประเมินกำไรสุทธิที่ 4,623 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) หนุนโดย 1.รายได้รวมขยายตัว 16% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากรายได้ที่ขยายตัวในทุกธุรกิจ และ 2. GPM ขยายตัวจากต้นทุน packaging ที่ลดลง และ utilization rate ที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้รวมรายได้จากผลิตภัณฑ์ผสมกัญชง และผลกระทบเชิงบวกจากการปรับสูตรลดน้ำตาลในประมาณการ Valuation/Catalyst/Risk

อย่างไรก็ดี คงราคาเป้าหมายที่ 138.00 บาท (อิง PER 38x เทียบเท่า 5-yr avg PER) โดยมองว่ากำไรปี 2564 ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่จะกลับมาฟื้นตัวแบบ V-shape ในปี 2565 จากปัจจัยพื้นฐานที่ยังดีต่อเนื่อง อีกทั้ง CBG ยังมี Upside จากการปรับสูตรเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อลดน้ำตาล และรายได้จากผลิตภัณฑ์ผสมกัญชง

Back to top button