GLOCON แรลลี่ 3 วันพุ่ง 15% ลุ้นไตรมาส 2 พลิกกำไร – รายได้ทั้งปีทะลุ 2 พันลบ.

GLOCON แรลลี่ 3 วันพุ่ง 15% ลุ้นไตรมาส 2 พลิกกำไร จากช่วงเดียวกันของก่อนขาดทุน 7.12 ลบ. – รายได้ทั้งปีคาดโตตามเป้า 2.1 พันลบ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOCON ณ เวลา 11.42 น. อยู่ที่ระดับ 1.25 บาท บวก 0.01 บาท หรือ 0.81% สูงสุดที่ระดับ 1.28 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.22 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 53.73 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 วัน นับตั้งแต่ราคาปิดที่ระดับ 1.09 บาท เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.64 โดยคิดเป็นการปรับขึ้นมา 0.16 บาท หรือ 14.68%

ด้าน น.ส.หลุยส์ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหาร GLOCON เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/64 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ จากไตรมาส 1/64 มีผลขาดทุนสุทธิ 7.12 ล้านบาททรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่าจะมีรายได้เติบโตเป็นกว่า 500 ล้านบาท จากไตรมาสแรกทำได้ 418.49 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของทุกธุรกิจ ทั้งธุรกิจอาหารแปรรูป หรือสินค้าอาหารแช่แข็งพร้อมทาน, ธุรกิจผลไม้อบแห้ง และธุรกิจบรรจุภัณฑ์

ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารยังถ่วงอยู่ โดยยอมรับว่าร้าน A&W เป็นความเสี่ยงเดียวของบริษัท เนื่องจากยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์เปลี่ยนจากการขายผ่านร้านค้าในรูปแบบเดิม มาเป็น A&W Foodtruck เพื่อเคลื่อนย้ายไปตามสถานที่ต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว เช่น ปั๊มน้ำมัน, อาคารสำนักงาน และ ศูนย์การค้าต่างๆ เป็นต้น เพื่อเพิ่มยอดขาย รวมถึงขยายจุดขาย A&W Express ในสาขา 7-Eleven ปัจจุบันมีแล้ว 18 สาขา และจะขยายไปให้ครบทุกสาขาของ 7-Eleven

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายให้ A&W Foodtruck คืนทุนได้ภายใน 7 ปี และ A&W Express จะคืนทุนได้ภายใน 8 ปี ดังนั้น ยอมรับว่าภาพรวมของธุรกิจร้าน A&W ในปีนี้จะยังขาดทุนเท่ากับปีก่อนที่มีผลขาดทุนราว 50 ล้านบาท แต่จะถูกชดเชยจากธุรกิจอื่นๆ ที่สามารถเติบโตได้ดี

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทคาดว่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก หลังจากมุ่งเน้นการออกผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant Based Food) ภายใต้แบรนด์ Kitchen Plus ภายหลังการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับบริษัท กรีน มันเดย์ โฮลดิ้ง จำกัด (GM) ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่าย Plant Based Food ระดับโลก เจ้าของแบรนด์ OMNIMEAT มาร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ Plant Based Food สำเร็จรูปพร้อมทาน ล่าสุดมีผลิตภัณฑ์ออกมาแล้ว เช่น กระเพราะหมู, ลาบทอด เป็นต้น ทดลองวางจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดในไทยแล้ว และเตรียมขยายตลาดไปยังต่างประเทศในเดือนส.ค.นี้ในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนรุกธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชง โดยที่ผ่านมาได้ติดตั้งเครื่องจักรที่จะใช้สกัดสารจากเมล็ดกัญชงแล้ว คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตการผลิตสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มจากน้ำมันเมล็ดกัญชงจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภายในเดือน ก.ย.นี้ จากนั้นจะเริ่มออกผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 4/64 จึงน่าจะรับรู้รายได้เข้ามาอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป

พร้อมกันนี้ บริษัทมีแผนจะย้ายกำลังการผลิตไปยังโรงงานแห่งใหม่ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิต (Capacity) เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ทั้งนี้เพื่อรองรับ Plant Based Food และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชง รวมถึงการขยายตลาดต่างประเทศ ส่วนธุรกิจผลไม้อบแห้ง อาหารแช่แข็งพร้อมทาน และบรรจุภัณฑ์ มองว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากการขยายตลาดใหม่ๆ และพัฒนาสินค้าร่วมกับลูกค้า

โดยบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้ไว้ที่ 2,100 ล้านบาท เติบโตราว 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,560.25 ล้านบาท โดยจะมาจากธุรกิจผลไม้อบแห้งราว 600 ล้านบาท, ธุรกิจอาหารแช่แข็ง 673 ล้านบาท, ธุรกิจเทรดดิ้ง โดยเฉพาะแบรนด์ Kitchen Plus คาดมีรายได้ที่ 61 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์คาดทำได้ใกล้เคียงเดิม ที่เหลือเป็นธุรกิจอื่นๆ

ด้านธุรกิจร้านอาหารปีนี้จะยังขาดทุนอยู่ จากร้าน A&W ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ต่อเนื่อง และร้านอาหารคิทเช่น พลัส ที่คงเหลืออยู่ 2 สาขา ขณะนี้ได้ปิดพื้นที่นั่งรับประทานอาหารตามมาตรการของรัฐ อย่างไรก็ตามในส่วนนี้บริษัทมองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญมากนัก เมื่อเทียบกับการเติบโตของธุรกิจอื่นแล้วสามารถชดเชยผลขาดทุนดังกล่าวได้แน่นอน

Back to top button