INGRS พุ่งแรง 8% นิวไฮรอบ 3 ปี ลุ้นปีนี้รายได้ฟื้นตัว! รับออร์เดอร์ชิ้นส่วนรถยนต์ไหลเข้า

INGRS พุ่งแรง 8% นิวไฮรอบ 3 ปี ลุ้นปีนี้รายได้ฟื้นตัว! รับออร์เดอร์ชิ้นส่วนรถยนต์ไหลเข้า หลังเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(30 มิ.ย.64) ราคาหุ้นบริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)  หรือ INGRS ณ เวลา 15.02 น. อยู่ที่ระดับ 1.04 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 8.33% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 350.66 ล้านบาท ราคาหุ้นนิวไฮในรอบ 3 ปี โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 1.05 บาท เมื่อวันที่ 28 พ.ค.61

โดยก่อนหน้านี้นายฮามิดี บิน เมาลอด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร INGRS เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานงวดปี 64/65 (1 ก.พ. 64 – 31 ม.ค. 65) คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากงวดปี 63/64 โดยเฉพาะในส่วนของรายได้คาดว่าจะทำได้สูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 2.22 พันล้านบาท หลังจากที่ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ และสถานการณ์โควิด-19 ของประเทศต่างๆทั่วโลกเริ่มดีขึ้น หลังเริ่มมีการกระจายฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆเริ่มกลับมาดำเนินกิจกรรมต่างๆได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทเริ่มกลับมาสั่งออเดอร์ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อีกครั้ง หลังจากทิศทางของยอดขายรถยนต์เริ่มกลับมามากขึ้น โดยเฉพาะในมาเลเซียและอินโดนีเซียที่มีออเดอร์เข้ามาชัดเจน ทำให้บริษัทสามารถกลับมาใช้กำลังการผลิตได้มากขึ้น

สำหรับในช่วงที่ผานมาบริษัทได้เดินหน้าในการเจรจากับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์เพื่อเข้ารับงานมาเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้รับคำสั่งผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้กับลูกค้าจำนวน 24 งาน ใน 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย และไทย มูลค่ารวมกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่ลูกค้าวางแผนการเปิดตัวไว้ในอนาคตเป็นจำนวนมาก ซึ่งบริษัทมองว่าแนวโน้มของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทอยุ่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการลงทุนเครื่องจักรที่เข้ามารองรับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่จะมีมากขึ้นในอนาคต

ในปี 64 บริษัทได้วางงบลงทุนรวมไว้ที่ 2.45 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ใหม่ๆ การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า และปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตให้ดีขึ้น โดยที่จะเน้นไปที่การขยายการลงทุนในโรงงานประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีโครงการที่ได้รับงานใหม่ๆจากลูกค้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยที่การลงทุนดังกล่าวจะเป็นการลงทุนต่อเนื่องในปี 64-65

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของผลการดำเนินงานที่ยังขาดทุนมาต่อเนื่องในปี 62-63 นั้น บริษัทยังไม่สามารถประเมินได้ว่าในปี 64 จะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้หรือไม่ แม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์จะเริ่มดีขึ้น แต่ยังเป็นการฟื้นตัวที่ช้า เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลายและสิ้นสุดลงอย่างชัดเจน ทำให้เศรษฐกิจโลกยังไม่สามารถฟื้นกลับมาได้เต็มที่ ส่งผลให้งานใหม่ๆที่บริษัทได้รับจากลูกค้ามาบางงานยังไม่สามารถเริ่มผลิตและส่งมอบได้ เนื่องจากลูกค้าเลื่อนการเปิดตัวออกไป ส่งผลกระทบต่อภาพรวมให้ภาพรวมของบริษัทยังมีความไม่แน่นอนอยู่หากโควิด-19 ยังไม่หายไปอย่างชัดเจน

Back to top button