TU วิ่งต่อ 3% โบรกฯชูเป้า 24 บ. รับ “บาทอ่อน-ต้นทุนลด” ดันกำไรปีนี้ทะลุ 7 พันลบ.

TU บวก 3% โบรกฯมองกำไรปีนี้แตะ 7,123 ลบ. เพิ่มขึ้น 32.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ชี้แนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าและต้นทุนลด เป็นปัจจัยหนุน แนะ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 24 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (15 ก.ค. 2564) ราคาหุ้นบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ TU ณ เวลา 12.02 อยู่ที่ระดับ 22.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท 3.15% โดยทำจุดสูงสุดที่ 22.90 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 22.20บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 490.94 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัดระบุในบทวิเคราะห์ (12 ก.ค. 2564) โดยประเมินต่อหุ้น TU ว่าทางฝ่ายวิจัยได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มขึ้น 18% เป็น 7,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและปี 2565 เพิ่มขึ้น 17% เป็น 7,251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อนปรับเพิ่มจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 6,019 ล้านบาท และปี 2565 อยู่ที่ 6,202 ล้านบาท

โดยส่วนหนึ่งเป็นการปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2564 เป็น 17.80% จากเดิม 17% และปี 2565 เดิม 16.80% เป็น 17.50%  ซึ่งเป็นความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นของบริษัทที่เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มค่าเงินบาทที่อ่อนค่าและการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการ

ด้านฝ่ายวิจัยได้ปรับราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 24.00 บาท (เดิม 19.00 บาท) อิงค่า PER 16 เท่า โดย TU ยังมีความน่าสนใจในการลงทุนจากด้านทางยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งเติบโตจากการฟื้นตัวของ Food Service  ขณะเดียวกันบริษัทเน้นพัฒนาสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรให้สูงขึ้น

ทั้งนี้จากกรณีการพบพนักงานในโรงงานสงขลาแคนนิ่งติดเชื้อ COVID-19 ส่งผลให้ต้องปิดโรงงานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ (20 มิ.ย. ถึง 4 ก.ค. 2564) และเริ่มกลับมาดำเนินงานตามปกติ เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2564 ที่ผ่านมา โดยโรงงานสงขลาแคนนิ่งผลิตทูน่ากระป๋องและสินค้า Petcare มีรายได้จากโรงงานสงขลาคิดเป็น 5% ของยอดขายทั้งหมดต่อปีคาดใช้เวลาราว 1 เดือน ในการ Ramp up กำลังการผลิตสู่ระดับปกติ คาดส่งผลกระทบเล็กน้อยในช่วงไตรมาส 3/2564 อย่างไรก็ตามมีการเพิ่มการผลิตในโรงงานที่สมุทรสาครเพื่อชดเชยกำลังการผลิตที่ลดลง

นอกจากนั้นยังมีผลการดำเนินงานของ Red Lobster ที่คาดว่าฟื้นตัวโดยคาดว่าจะขาดทุนลดลงจากปี 2563 และเงินบาทอ่อนค่าเป็นปัจจัยหนุนธุรกิจ ซึ่งราคาหุ้น TU ปรับเพิ่มกว่า52% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแต่ก็ยังมี Upside เพียงพอสำหรับการลงทุนแม้จะสะท้อนปัจจัยบวกไปบางส่วน ทำให้ยังคงแนะนำเพียง “เก็งกำไร”

Back to top button