SMD วิ่งแรง 3% ลุ้นกำไรปีนี้โตกว่า 50% รับยอดขาย Rapid Test-เครื่องมือแพทย์หนุน

SMD วิ่งแรง 3% ราคาแตะ 13.10 บ. ด้วยมูลค่าซื้อขาย 168.58 ลบ. ลุ้นกำไรปีนี้โตกว่า 50% รับยอดขายเครื่องมือแพทย์หนุน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ล่าสุด ณ เวลา 15.17 น. อยู่ที่ 13.10 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 3.15% สูงสุดที่ 13.30 บาท ต่ำสุดที่ 12.70 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 168.58 ล้านบาท

โดย บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ (16 ก.ค.) ว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อข่าว SMD เตรียมนำชุดตรวจโควิด Rapid Test ออกวางขายทันทีหากรัฐมีกรอบชัดเจน รวมทั้งข่าวรััฐบาลออกกฎอาคารสูงติดตั้งเคร่ือง AED โดยบล.เคทีบีเอสที คาดว่าตึกสูงเกิน 8 ชั้นจะต้องติดตั้งเครื่อง AED ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 70,000-100,000 บาท หากเมืองไทยติดตั้ง AED ถึงระดับ 2 แสนเครื่องใน 5 ปี เฉลี่ยจะมีการ ติดตั้งทั้งหมด 3.4 หมื่นเครื่องต่อปี

ทั้งนี้ ปัจจุบัน SMD มีmarket share ราว 20% เป็ นหนึ่งในเป็น Top 5 โดยมีคู่แข่งคือ EFORL, XOVIC และ Phillips (ซึ่งถูก discontinue ไปแล้ว) ดังนั้น หากตั้งสมมติฐานว่า SMD จะได้ market share อย่างน้อย 10% ด้วยราคาขายเฉลี่ยที่ 8 หมื่นบาทต่อเครื่องจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 272 ล้านบาท (Fig 1) ด้วย NPM ที่ 12% จะมี upside ต่อกำไรราว 30 ล้านบาทในปี 2565 โดยนโยบายนี้จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน จึงคาดว่ารายได้น่าจะเริ่มเข้ามาในไตรมาส 1/2565

ส่วนด้านชุดตรวจโควิด Rapid Test บริษัทจะเน้นการขายแบบ B-to-G ซึ่งแม้คาดจะได้ NPM ราว 10- 12% ต่ำกว่าค้าปลีกแบบ B-to-C ค่อนข้างมากแต่จะสามารถขายได้แบบ mass ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเพิ่ม รายได้อย่างน้อยราว 60-100 ล้านบาท (หากขายตามราคากระทรวงสาธารณสุขไม่เกิน 400 บาท จะตกเป็นยอดขาย 25,000-100,000 ชิ้น) ทำให้จะมี upside ต่อประมาณการในปี 2564 ราว 6-10 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขอ อย. แบบ fast track ซึ่งคาดว่าจะรู้ ผลในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า

ขณะที่ก่อนหน้านี้ บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ (13 ก.ค.)  แนะนำ “ซื้อ” SMD และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 14 บาท (เดิม 9บาท) อิง PER ปี 2564 ที่ 24 เท่า มีมุมมองเป็นบวกต่อ group conference call วานนี้ (12 ก.ค.) จาก ประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1) โควิดทำให้ยอดขายเครื่องมือแพทย์หลายชนิดที่ใช้ใน ICU/ Semi ICU เติบโต ถึง 30-100% (เดิมคาดว่าจะโต 6-10%), 2) Occupancy rate ของ Sleep lab ลดลงโดยเดือน ม.ค. อยู่ที่ 50% และเดือน พ.ค. อยู่ที่ 20%, 3) รายได้จากการขายเครื่องช่วยหายใจ (O2Flow) จะเพิ่มมากขึ้นจากความต้องการของผู้ป่วยโควิดที่หายแล้วแต่มีพังผืดเกิดขึ้นที่ปอด (Lung fibrosis) และ 4) มีเป้าขยาย Sleep lab 3 โรงพยาบาลต่อปี โรงพยาบาลละ 4 เตียง (CAPEX 15 ล้านบาท)

นอกจากนี้ได้ปรับกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น 41% มาที่ 123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% เมื่อเทียบจากปีก่อน หลักๆ มาจากรายได้ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็ น 1.02 พันล้านบาท หนุนโดยยอดขายเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในห้อง ICU และ Semi ICU และ ปรับกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 46% เป็น 146 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยมองว่าบริษัทยังมีโอกาสเติบโตได้จากการขยายธุรกิจเครื่องมือแพทย์ให้เช่า และ Sleep lab อีกทั้งจะมียอดขายเครื่องช่วยหายใจ (O2Flow) สำหรับผู้ป่วยโควิดที่ปอดเกิดพังผืด

Back to top button