ILM บวกแรง 5% รุกขยายช่องทางออนไลน์-ลุ้นโควิดคลายไตรมาส 4 หนุนธุรกิจฟื้นเด่น

ILM บวกแรง 5% โดย ณ เวลา 15.20 น. อยู่ที่ระดับ 15.40 บาท บวก 0.80 บาท รุกขยายช่องทางออนไลน์-ลุ้นโควิดคลายไตรมาส 4 หนุนธุรกิจฟื้นเด่น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(26 ส.ค.64) ราคาหุ้นบริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM  ณ เวลา 15.20 น. อยู่ที่ระดับ 15.40 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 5.48%  ด้วยมูลค่าซื้อขาย 36.83 ล้านบาท

นางกนกวรรณรัตน์ ศรีมณีศิริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานบัญชีและการเงิน ILM  เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2564 เป็นตัวเลขหลักเดียว (Single digit growth) หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลงภายในไตรมาส 4/2564 ทำให้สาขาของบริษัทสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้เต็มที่ ลูกค้าเริ่มกลับเข้ามาซื้อของ ณ จุดขายหน้าร้านได้ ขณะเดียวกันยังคาดการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (Same Store Sale Growth : SSSG) ในปีนี้จะเติบโตที่ระดับ 0.25-1.5% จากปีก่อน แต่หากสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย จะมีการพิจารณาทบทวนเป้าหมายใหม่

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2564 โดยจะเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ (Online) มากขึ้น ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายผ่านช่องทางดังกล่าวเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ในทุกไตรมาส และ ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทมียอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ในสัดส่วน 10% เป็นผลมาจากการออกสินค้าใหม่ ๆ ควบคู่กับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย เบื้องต้นบริษัทประเมินว่ายอดขายจากช่องทางดังกล่าวในปี 2564 จะเติบโตประมาณ 70% จากปีก่อน

นอกจากนี้ บริษัทยังคงดำเนินการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการควบคุมต้นทุนสินค้าคงคลัง ที่บริษัทได้มีการลดต้นทุนลงไปมากในช่วงที่ผ่านมา จากการ Turn over เร็วขึ้น ประกอบกับการปรับราคาขายสินค้าบางประเภทเพิ่มขึ้น จากการที่ต้นทุนในการผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์บางรายการปรับตัวเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาระดับมาร์จิ้นให้ทรงตัว และลดผลกระทบจากต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น

ส่วนการเปิดสาขาใหม่ในประเทศในช่วงครึ่งปีหลั จะมีในทำเลลาดกระบัง ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและอาจจะมีการเลื่อนเปิดไปในปี 2565 หากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศยังไม่คลี่คลายลง ขณะที่การเปิดสาขาแฟรนไชส์ในต่างประเทศช่วงปลายนี้ จะมีการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ที่ประเทศบรูไน และประเทศอินโดนีเซีย

นางกนกวรรณรัตน์  กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังได้ เนื่องจากมีปัจจัยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กดดัน ทั้งการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ ตามมาตรการควบคุมสูงสุด อีกทั้ง ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากเกิดความกังวล ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัททั้งหมด

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2564 บริษัทคาดว่าน่าจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงจากไตรมาส 2/2564 ที่ผ่านมา เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ ทำให้บริษัทต้องปิดให้บริการหน้าร้านในสาขา รวม 9 สาขา จาก 31 สาขาที่มีในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม 9 สาขาที่ปิดการให้บริการคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% ของยอดขายรวม

“ในช่วงเดือนกรกฎาคม เราได้ปิดการให้บริการหน้าร้านไป 3 สัปดาห์ ขณะที่ในเดือนสิงหาคม ก็ปิดการให้บริการหน้าร้านไปทั้งเดือน ต้องรอดูเดือนกันยายน ว่าจะเป็นอย่างไร เราได้แต่คาดหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้กระทบยอดขายในไตรมาส 3/2564 แน่นอน และเราหวังว่าแนวโน้มในไตรมาส 4/2564 จะฟื้นตัวขึ้น” นางกนกวรรณรัตน์ กล่าว

Back to top button