SYNEX บวก 4% ลุ้นกำไรปีนี้ทะลุ 700 ลบ. อานิสงส์ยอดขายไอทีพุ่ง

SYNEX บวก 4% โบรกฯมองกำไรปกติปีนี้ แตะ 762 ลบ. อานิสงส์ยอดขายสินค้า IT ที่จะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานและชีวิตประจำวัน รวมทั้งอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความต้องการสินค้าไอทีที่สูง ชูเป้า 36 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (31 ส.ค.2564) ราคาหุ้นบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ณ เวลา 11.25 น. อยู่ที่ระดับ 25.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.05 บาท หรือ 4.25% โดยทำจุดสูงสุดที่ 26.00 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 24.60บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 77.31 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (19 ส.ค.2564) โดยทางฝ่ายวิจัยมองเป็นบวกมากขึ้นต่อการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 18 ส.ค.2564 จากความชัดเจนของการลงทุน Synnex Incubation ที่จะช่วยหนุนผลการดำเนินงานในระยะยาวของบริษัทฯ และแนวโน้มรายได้ที่จะยังขยายตัวควบคู่กับอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่จะเพิ่มขึ้น

โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1) ประเมินความต้องการสินค้า IT จะยังสูงจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้สามารถออนไลน์ได้ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนเป็น e-Document มากขึ้น ทำให้การลงทุนด้าน IT เพิ่มขึ้นทั้งนี้รายได้เฉลี่ยรายวันเดือน ก.ค. ยังใกล้เคียงกับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 สะท้อนให้เห็นถึงระดับ Demand ที่สูง (2) อยู่ระหว่างการเพิ่มสินค้า House brand ใน 3 กลุ่ม (Mobile phone accessories, Gaming & PC peripherals) ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น (GPM)

รวมทั้ง 3) Synnex Incubation เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยจะเริ่มลงทุนใน SWOPMART (ให้บริการPlatform หรือ Marketplace สำหรับการซื้อขายสินค้า IT มือสองในระดับ C2C) โดยมีรายละเอียดคือ (1) SYNEX จะร่วมมือกับ Partner ที่มีความชำนาญด้าน IT development โดยจะลงทุนในสัดส่วน 60:40 ภายใต้งบประมาณของ SYNEX ทั้งหมดไม่เกิน 100 ล้านบาท (2) รายได้จะมาจาก Transaction Fee ไม่เกิน 5% ของราคาขาย และ Inspection Service Fee ประมาณ 2% ในกรณีที่บริษัทให้บริการตรวจสอบคุณภาพสินค้า และออกใบรับรองคุณภาพ เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้ามือสองเกิดความมั่นใจต่อสินค้า (3) ประเมินขนาด Market Size ตลาดสินค้า IT มือสองที่ 5.00หมื่นล้านบาท/ปี โดยคาดว่า SWOPMART จะมี Market Share ที่ 50% ภายใน 3 ปี และจะBreakeven ในปีที่ 2

ขณะที่ 4) มีโอกาสที่จะขยายธุรกิจเพิ่มในอนาคต เช่น IT leasing

ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปกติปี 2564 ที่ 762 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 37% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและปี 2565ที่ 952 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อนจาก (1) รายได้ที่จะเพิ่มขึ้นปีละ 16%/19% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหนุนโดย (1) ยอดขายสินค้า IT ที่เพิ่มขึ้นในระดับ End User และองค์กร เพื่อรองรับการทำงาน Work From Anywhere และเทคโนโลยีที่มีการพัฒนามากขึ้นทั้ง 5G และ WiFi6

รวมทั้ง (2) การเพิ่มสินค้าและพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่อง เช่น Realme, Nintendo Switch, Residential EV charger กับ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ DELTA และ บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)หรือ SABUYเช่น การขายสินค้าผ่านตู้ Vending machine (3) เริ่มรับรู้รายได้จาก SWOPMART ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/2564  ประเด็นต่อมา (2) GPM จะปรับตัวเพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับสูงที่ 4.60%/4.70% จากความต้องการสินค้า IT ที่สูงกว่า Supply สินค้า และการเพิ่มสัดส่วนรายได้ Non-Mobile และ House brand ที่มี GPM สูง

ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564คาดจะหดตัวจากไตรมาสก่อน จากรายได้ที่ลดลงตามการ Lockdown ที่ทำให้ยอดขายสินค้าให้ Chain Store ลดลง ในขณะที่คาดว่าผลการดำเนินงานและรายได้จะกลับมาดีขึ้นในไตรมาส 4/2564ตามปัจจัยฤดูกาลที่จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น IPhone รวมทั้งสถานการณ์ของขาดจะกลับมาดีมากขึ้น จากปัจจุบันที่เริ่มดีขึ้นในกลุ่ม Printer

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยให้ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท อิงปี 2565 ค่า PER 32 เท่า ซึ่งประเมินว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 2563 – 2565 core EPS CAGR เพิ่มขึ้น 31% โดยได้รับผลบวกจากยอดขายสินค้า IT ที่จะเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานและชีวิตประจำวันให้เป็น Smart Environment ผ่านระบบ 5G, WiFi6 และ Work From Anywhere รวมทั้ง GPM ในระยะยาวที่จะปรับตัวดีขึ้น

 

 

Back to top button