เก็ง 8 หุ้น “ไฟแนนซ์-เช่าซื้อ” รับประโยชน์ กนง. หั่นดอกเบี้ย 0.25%

โบรกมองกนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เหลือ 1.25% มีมุมมองบวกต่อกลุ่มเช่าซื้อ KKP-TISCO และกลุ่มไฟแนนซ์อย่าง SAWAD, MTC, THANI, MICRO KTC, AEONTS ได้ประโยชน์


ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 17 ธ.ค.68 ว่าคณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที

ด้านเศรษฐกิจไทยในปี 2569 และปี 2570 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากครึ่งแรกของปี 2568 ตามการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอลงตามแนวโน้มรายได้ และภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตามราคาพลังงานและอาหารสดเป็นสำคัญ ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์มีจำกัดในภาวะที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ด้านสินเชื่อรวมยังหดตัวและคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางยังด้อยลง โดย SMEs ถูกกดดันด้านสภาพคล่องจากทั้งปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อและการแข็งค่าของเงินบาท

โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนและมีความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบาง รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิผลของมาตรการทางการเงินและนโยบายอื่นของภาครัฐ จึงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี

ทั้งนี้ สอดคล้องกับฝ่ายนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ทางฝ่ายวิจัยมีมุมมอง Slightly Negative Sentiment ต่อกลุ่มธนาคาร จากกนง. มีมติลดอัตรา ดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.25% เพราะมองว่าธนาคารจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (M-rate)

ขณะที่ด้านเงินฝากไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ตามการปรับลดของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มากนัก อย่างเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์(Current and Saving, CASA) ภาพรวม มองว่า Net interest margin (NIM) มีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามการลดอัตราดอกเบี้ย นโยบายครั้งนี้ไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน เพราะเป็นไปตามเราคาด และเราได้ใส่ ผลกระทบไว้ในประมาณการเรียบร้อยแล้ว

โดยมองว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงกลุ่มธนาคารขนาดกลาง-ใหญ่ (ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB) จะเป็นกลุ่มที่เสียประโยชน์ เพราะมีฝั่งสินทรัพย์ที่เป็นอัตรา ดอกเบี้ยลอยตัวในสัดส่วนที่สูงกว่าสินทรัพย์ที่เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้นเมื่อมีการปรับดอกเบี้ยลง ผลตอบแทนฝั่งสินทรัพย์จะปรับลงทันทีและด้านเงินฝาก มีเงินฝากกระแสรายวัน และออมทรัพย์ (Current and Saving, CASA) ในสัดส่วนที่สูง ทำให้ต้นทุนเงินทุนยังไม่ปรับลดมาก

อย่างไรก็ตามมองว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง กลุ่มธนาคารที่เน้นปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ (ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP, บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO) จะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์เนื่องจากสินเชื่อเช่าซื้อส่วนมาก มีอัตราดอกเบี้ยคงตัว ดังนั้นรายรับของกลุ่มธนาคารเหล่านี้จะยังไม่ปรับลงทันทีและด้านเงิน ฝาก มีเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (Current and Saving, CASA) และเงินฝาก ดอกเบี้ยคงตัว (Fix Deposit) ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน สำหรับเงินฝากดอกเบี้ยคงตัว (Fix Deposit) เมื่อดอกเบี้ยปรับลง และธนาคารมีเงินฝากที่จะครบกำหนดอายุจะถูกชดเชยเงิน ฝากที่ต้นทุนเงินทุนลดลงได้

โดยทางฝ่ายวิจัยคาดว่าธนาคารจะทยอยปรับดอกเบี้ยเงินกู้ (M-rate) และเงินฝากลง อย่างไรก็ตามการลด อัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน เพราะประมาณการของเราใช้ สมมติฐานอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.00% ในช่วงครึ่งแรกของปี 69

ทั้งนี้การปรับลงของดอกเบี้ยนโยบายเรามองเป็นผลลบระยะสั้น จากช่วงแรกอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (M-rate) ปรับเร็วกว่าทางต้นทุนทางการ เงิน (พวกเงินฝาก) อย่างไรก็ตามท้ายสุดเรามองว่าการลดลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (M-rate) จะถูกชดเชยจากการลดลงของต้นทุนทาง การเงิน (พวกเงินฝาก) โดยทางฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักการลงทุนเป็น NEUTRAL สำหรับกลุ่มธนาคาร และคง KBANK โดยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 205 บาท และ KTB โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท เป็น Top Pick

ฝ่ายวิจัยกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์มีมุมมอง Slightly Positive Sentiment ต่อกลุ่ม Consumer Finance ทั้งกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้แก่ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI, บริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MICRO และกลุ่มสินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้แก่ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC, บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.25%

โดยทางฝ่ายวิจัยระบุว่า บริษัทในกลุ่มส่วนใหญ่ปล่อยสินเชื่อในรูปแบบ อัตราดอกเบี้ยคงที่ ทำให้รายได้จากดอกเบี้ยยังไม่ปรับลดลงในทันที ขณะที่ด้านแหล่งเงินทุนยังมีเงินกู้ระยะสั้นและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด ซึ่งคาดว่าจะสามารถรีไฟแนนซ์หรือออกหุ้นกู้ใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ส่งผลให้ ต้นทุนทางการเงินมีแนวโน้มลดลงจากประมาณการเดิม และหนุนให้ Net Interest Margin (NIM) ปรับตัวดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ ไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของกลุ่ม เนื่องจากเป็นไปตามที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้แล้ว และได้สะท้อนผลกระทบดังกล่าวในประมาณการเรียบร้อย โดยสมมติฐานอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ใช้ในประมาณการอยู่ที่ 1.00% ในช่วงครึ่งแรกปี 2569

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังคง น้ำหนักการลงทุนกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ที่ระดับ BULLISH พร้อมคง MTC โดยยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 58 บาท และ KTC โดยยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 42 บาทเป็นหุ้นเด่น (Top Pick)

Back to top button