ดอลล์แข็งค่ากดราคาน้ำมันดิบปิดปรับลง

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) หลังดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ภายหลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังชะลอตัว


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวลง 78 เซนต์ หรือ 1.7% ปิด (23 ต.ค.) ที่ 44.6 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ตลอดสัปดาห์ ราคาน้ำมันร่วงลงไปถึงเกือบ 6% ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ขยับลง 9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 47.99 ดอลลาร์/บาร์เรล และลดลงประมาณ 5% ตลอดทั้งสัปดาห์

ดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้น้ำมันดิบ ซึ่งกำหนดราคาซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาแพงขึ้นและน่าดึงดูดน้อยลงสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่นๆ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับอีกหกสกุลเงินหลัก เพิ่มขึ้น 0.76% ที่ระดับ 97.114 ในช่วงท้ายของการซื้อขายในวันศุกร์

ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะเวลา 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะเวลา 1 ปีลง 0.25% สู่ระดับ 4.35% และ 1.50% ตามลำดับ โดยมีผลบังคับใช้ในวันเสาร์ (24 ต.ค.) นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังได้ปรับลดสัดส่วนการกันสำรอง (RRR) ของธนาคารพาณิชย์ลง 0.5% รวมทั้งปรับลด RRR ของสถาบันการเงินที่สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม รวมทั้งภาคการเกษตรลง 0.5% เช่นกัน

ความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางจีนมีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณว่าจะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซนมากขึ้น นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุในการแถลงข่าวหลังการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ECB จะทำการทบทวนในเดือนธ.ค.เพื่อพิจารณาว่าจะมีการดำเนินการเพิ่มเติมหรือไม่เพื่อกระตุ้นเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำในขณะนี้ การแถลงดังกล่าวของนายดรากีมีขึ้น หลังจากที่ ECB ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ 0.05%

ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในสัปดาห์หน้า ขณะที่มีการคาดการณ์กันว่า BOJ จะประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอีก โดยเฟดมีกำหนดการประชุมในวันที่ 27-28 ตุลาคมนี้ ส่วนการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม

ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์ อิงค์รายงานในวันศุกร์ว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐที่มีการใช้งาน ได้ลดลง 1 แท่น สู่ระดับ 594 แท่นในสัปดาห์นี้ ข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนตลาดได้ส่วนหนึ่ง เนื่องจากเทรดเดอร์เชื่อว่า บริษัทน้ำมันสหรัฐยังคงเดินหน้าปรับลดการใช้จ่ายเพื่อรับมือกับราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันได้ลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ราคาน้ำมันทรุดตัวลงในปีที่แล้ว ขณะนี้ จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันได้ลดลงแล้วกว่า 60% นับตั้งแต่พุ่งสูงสุดแตะ 1,609 แท่นในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว

Back to top button