MAJOR บวก 2% โบรกฯชี้ Q4/64 เทิร์นอะราวด์ เล็งปี 65 กำไรแตะ 1 พันลบ. ชูเป้า 22.80 บ.

MAJOR บวก 2% โบรกฯชี้ Q4/64 เทิร์นอะราวด์ เล็งปี 65 กำไรปกติที่ 1,019 ลบ. ไว้เช่นเดิม ซึ่งฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2564 อิง P/E เฉลี่ยที่ 20 เท่า ราคาพื้นฐาน 22.80 บาท แนะนำ “ซื้อ”


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ (7 ก.พ. 2565) ราคาหุ้น บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ  MAJOR ณ เวลา 10:10 น. อยู่ที่ระดับ 20.60 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 2.49% โดยทำจุดสูงสุดที่ระดับ 20.70 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 20.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 20.63 ล้านบาท

บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (7 ก.พ. 2565) ในกรณีของ MAJOR คาดว่าไตรมาส 4 ปี 2564 กลับมามีกำไรที่ 56 ล้านบาท ซึ่งฟื้นตัวจากไตรมาส 3 ปี 2564 ที่ขาดทุนจากการดำเนินงานราว 410 ล้านบาท (รวมกำไรจากการขาย SF กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,819 ล้านบาท) แต่ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะปีนี้ไม่มีส่วน แบ่งกำไรจาก SF

อีกทั้งปีก่อน SF มีกำไรพิเศษจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนรายได้คาดอยู่ที่ 1,566 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 857.3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 16.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หลังกลับมาเปิดโรงภาพยนตร์ได้ 1 ต.ค. 2564 และได้แรงหนุนจากภาพยนตร์ “Spider-Man: No Way Home” ที่มีรายได้ 205 ล้านบาท, “4 Kings อาชีวะยุค 90” รายได้ 100 ล้านบาท, “ฮีโร่พลังเทพเจ้า : Eternals” รายได้ 75 ล้านบาท, “ร่างทรง” รายได้ 70 ล้านบาท และ “Fast & Furious 9” รายได้ 65 ล้านบาท ซึ่งส่งผลดีต่อเนื่องมาที่รายได้จากอาหาร/ เครื่องดื่มโตตาม

รวมทั้งเพิ่มช่องทางขายป๊อบคอร์นผ่าน Delivery และนอกโรงภาพยนตร์ ส่วนธุรกิจอื่น ทั้งสื่อโฆษณา โบวลิ่ง/คาราโอเกะ ค่าเช่า และ MPIC ยังชะลอตัวจากผลของ COVID-19 ต้นทุนคาด จะปรับขึ้นทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ตามรายได้ ส่วน SG&A คาดลดลงจากการคุมค่าใช้จ่ายและยังมีการลด เงินเดือน และในไตรมาส 3 ปี 2564 มีการตั้งสำรองกรณีไฟไหม้และโบนัสพนักงาน

ขณะที่เดือน ม.ค.2565 ไม่มีภาพยนตร์ใหญ่เข้าฉาย ยังคงเป็นภาพยนตร์จากไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ต่อเนื่องมา อย่าง Spider&Man: No Way Home ที่ 78 ล้านบาท และ 4 Kings อาชีวะยุค 90 ที่ 20 ล้านบาท นอกนั้นจะมีรายได้ ไม่มาก เช่น ส้มปลาน้อย 18 ล้านบาท และ Scream หวีดสุดขีด 15 ล้านบาท เดือน ก.พ.- มี.ค.จะมี ภาพยนตร์ใหญ่ทยอยเข้า เช่น Uncharted:ผจญภัยล่าขุมทรัพย์สุดขอบโลก และ Morbius:มอร์เบียส จากค่ายโซนี่พิคเจอร์ส Death on the Nile:ฆาตกรรมบนลำน้ำไนล์จากค่ายวอลดีสนีย์ The Batman: เดอะ แบทแมน จากค่ายวอร์เนอร์บราเธอส์และภาพยนตร์ไทยพี่นาคภาค 3 ที่ใน 2 ภาคแรกทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอของค่ายจีดีเฮช

โดยภาพยนตร์ใหญ่จากฮอลลีวูดจะทยอย เข้าตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 ซึ่งเป็นซัมเมอร์และเป็น high season ของธุรกิจ ที่จะเข้าฉาย Jurassic World: Dominion, Transformers: Rise of the Beasts, Doctor Strange in the Multiverse of Madness, Top Gun 2: Maverick, John Wick: Chapter 4, Black Panther: Wakanda Forever, Thor: Love and Thunder, Aquaman and the Lost Kingdom, Black Adam, The Flash: Flashpoint เป็นต้น แม้จะยังคงจำกัดผู้เข้าชม 75% ของที่นั่ง แต่จะพยายามเพิ่มรอบฉายให้กลับสู่ระดับปกติที่ 6-7 รอบ ต่อวัน จากปัจจุบันที่ 4 รอบ การที่ภาพยนตร์ใหญ่เข้าฉายจะส่งผลดีต่อรายได้ที่เกี่ยวเนื่องทั้งอาหาร/ เครื่องดื่มและสื่อโฆษณา และการฟื้นตัวของธุรกิจอื่น ๆ ที่กลับมาดำเนินงานได้ตามปกติ

นอกจากนี้จะ ขายป๊อบคอร์นผ่าน 7-11 ทุกสาขา เริ่มปลาย ก.พ. – ต้น มี.ค. 2565 ซึ่งเป็นรายได้ช่องทางใหม่หนุนรายได้ อาหาร/เครื่องดื่มอีกทาง และยังมีการจับมือกับพาร์ทเนอร์สัญชาติจีนในการผลิตภาพยนตร์และจะเข้า ฉายในจีน

อย่างไรก็ตามจากไตรมาส 4 ปี 2564 ที่พลิกกลับมามีกำไร จากเดิมที่คาดน่าจะขาดทุน จึงปรับคาดการณ์กำไรปี 2564 ขึ้นเป็น 1,537 ล้านบาท (หากไม่รวมกำไรขาย SFจะขาดทุน 693 ล้านบาท) จากเดิม 1,394 ล้านบาท ส่วนปี 2565 ยังคงคาดกำไรปกติที่ 1,019 ล้านบาทไว้เช่นเดิม ซึ่งฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2564 อิง P/E เฉลี่ยที่ 20 เท่า ราคาพื้นฐาน 22.80 บาท ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button