TIDLOR วิ่ง 3% โบรกฯชี้ปี 65 กำไรโตแกร่ง รับสินเชื่อ-รายได้ค่าฟีหนุน ชูเป้า 52 บ.

TIDLOR บวก 3% โบรกฯชี้ปี 65 กำไรโตแกร่ง จากผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและรายได้จากค่าธรรมเนียมสูงขึ้น อีกทั้งการจับมือพันธมิตรจะช่วยหนุน Sentiment บวกระยะสั้น สูงขึ้น ชูเป้า 52 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (7 ก.พ. 2565) ราคาหุ้นบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ณ เวลา 15:12 น. อยู่ที่ระดับ 36.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 2.82% โดยทำจุดสูงสุดที่ 36.75 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 35.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 351.52 ล้านบาท

บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เป็นหุ้นในกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง สอดคล้องกับที่ บล.เคทีบีเอสที ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินการดำเนินปี 2565 ของ TIDLOR จะเติบโดดเด่นจากการขยายตัวของสินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียม บัตรติดล้อ ยอดประกันรถชั้น 1 ที่เพิ่มขึ้น และการขยายระยะเวลาผ่อนชำระเบี้ยประกันรถเป็น 10 เดือน พร้อมให้ราคาเป้าหมายที่ 50 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ บล.กสิกรไทย ล่าสุดให้คำแนะนำ “ซื้อ” และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่เป็น 52 บาทต่อหุ้น จากเดิม 50 บาทต่อหุ้น พร้อมคาดการณ์แนวโน้มผลงานไตรมาส 1/2565 จะเติบโตได้ดีจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจาก 3 ปัจจัยหลักคือ การเติบโตอย่างต่อเนื่องของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ต้นทุนที่คาดว่าจะปรับลดลงเนื่องจากการประหยัดต่อขนาดและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ลดลง รวมถึง Credit Cost หรือค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่คาดว่าจะลดลงเช่นกัน

โดยในบทวิเคราะห์บล.กสิกรไทย วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ระบุว่า TIDLOR จะรายงานกาไรในไตรมาส 4/2564 ที่ 742 ล้านบาท ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรที่หดตัวจากไตรมาสก่อน น่าจะเกิดจาก 1) Opex ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน เป็น 1.68 พันล้านบาท จากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้น เพื่อโปรโมทแผนการผ่อนชำระสินค้าประกันระยะเวลา 10 เดือนของ TIDLOR และ 2) การตั้งสำรองหนี้สูญ (ECL) ที่คาดว่าจะสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่มากขึ้นหลังการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

อย่างไรก็ตามรายได้จากการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 น่าจะแข็งแกร่งจากการเติบโตของสินเชื่อที่มั่นคงและรายได้ ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย ในเชิงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งทางฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรจะยังคงเติบโต โดยได้รับแรงหนุนจากพอร์ตสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 5.83 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) ที่ลดลง 42 bps จากงวดเดียวกันของปีก่อน ด้วยเหตุนี้กำไรปี 2564 คาดจะอยู่ที่ 3.10 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

อีกทั้งทางฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรก่อนตั้งสารอง (PPOP) ในไตรมาส 4/2564 จะอยู่ที่ 1.10 พันล้านบาท ลดลง 6% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้ทางฝ่ายวิจัยจะคาดว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (non-NII) จะ แข็งแกร่งจากไตรมาสก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ 3% จากไตรมาสก่อน และรายได้ ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยจากการกลับมาเปิดกิจกรรมทางธุรกิจอีกครั้งและโปรโมชั่นการผ่อนชำระ 10 เดือน แต่ PPOP น่าจะลดลงจากไตรมาสก่อน จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (opex) ที่สูงขึ้น

โดยทางฝ่ายวิจัยคาดว่า opex จะสูงขึ้นในไตรมาส 4/2564 และสัดส่วนต้นทุน/ รายได้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% จาก 56% ในไตรมาส 3/2564 จากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับพนักงาน และ ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิจัยคาดว่า PPOP จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของสินเชื่ออย่างมั่นคงที่ 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง 23bps จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 2.67% ในไตรมาส 4/2564

นอกจากนี้ทางฝ่ายวิจัยคาดว่า TIDLOR จะรายงานอัตราส่วนหนี้เสีย (NPL ratio) ลดลงอีกครั้งเป็น 1.36% ในไตรมาส 4/2564 จาก 1.41% ในไตรมาส 3/2564 จากการกลับมาเปิดธุรกิจอีกครั้งในประเทศตั้งแต่เดือน ต.ค. 2564 ซึ่งช่วยสนับสนุนรายได้ของลูกค้า อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิจัยคาดว่า TIDLOR จะตั้ง ECL ให้สูงขึ้น 14% จากไตรมาสก่อน เพื่อสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้นจากการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ทำให้ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าอัตราสำรองต่อหนี้สูญ (coverage ratio) ของ TIDLOR ในไตรมาส 4/2564 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 336% ในไตรมาส 4/2564 จาก 326% ในไตรมาส 3/2564 โดย coverage ratio ที่สูงดังที่กล่าวข้างต้นจะเพียงพอที่จะรองรับผลที่อาจเกิดขึ้นจากการระบาดของ “โอมิครอน” ในปี 2565 ขณะเดียวกันคาดว่า TIDLOR จะเริ่มลด ECL ในปี 2565

อนึ่งทางฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรในไตรมาส 1/2565 จะเติบโตจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก 1) การเติบโตอย่างต่อเนื่องของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 2) สัดส่วนต้นทุน/รายได้ ที่คาดว่าจะลดลงจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการประหยัดต่อขนาดที่ดีขึ้นและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ลดลง และ 3) credit cost ที่คาดว่าจะลดลง

ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 52 บาท จากเดิม 50 บาท เนื่องจากทางฝ่ายวิจัยปรับฐานการประเมินมูลค่าหุ้นไปเป็นปลายปี 2565 จากเดิมกลางปี 2565 และด้วยการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2565-2566 ค่า PER ของ TIDLOR น่าจะลดลงเป็น 20 เท่า ในปี 2565 และลดลง16 เท่า ในปี 2566 ขณะเดียวกันคาดว่ากำไรจะเติบโต 27% ในปี 2565 และเติบโต 26% ในปี 2566

Back to top button