เปิด 5 หุ้น mai ไตรมาส 1 ราคาพุ่งเกิน 100% ลุ้นผลงานโตกระฉูด!

เปิด 5 หุ้น mai ไตรมาส 1 ราคาพุ่งเกิน 100% ลุ้นผลงาน Q1 โตกระฉูด! HYDRO-THANA-DITTO-PSG และ QLT นำทีมเด่น


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ไตรมาสแรกปี 2565 นับตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2565 ผลปรากฎว่ามีราคาหุ้นจำนวนมากปรับตัวขึ้น จนสามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากแบงก์หลายเท่าตัว

อีกทั้งสวนภาพรวมภาวะตลาดหุ้นไทยเผชิญผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้นมาก และส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับลดลง อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้นสูงเกินกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้มีความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตามจากปัจจัยภายในประเทศที่มีความเชื่อมโยงไปยังรัสเซียและยูเครนค่อนข้างน้อย และเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะในภาคบริการและการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมืองในอนาคต ทำให้เห็น Fund Flow จากผู้ลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ลงทุนต่างชาติย้ายเงินทุนกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียน โดยในไตรมาส 1/65 มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้นไทยมากที่สุด

จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่ม mai ไตรมาสแรกปี 2565 หลายตัวปรับตัวขึ้นแรง โดยจากการสำรวจหุ้นพบว่ามี 5 หุ้น ที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงเกิน 100%  ซึ่งประกอบด้วย HYDRO ,THANA ,DITTO ,PSG  และ QLT โดยปัจจัยหนุนส่วนใหญ่มาจากแผนธุรกิจและแนวโน้มผลประกอบการในปี 2565 คาดเติบโตโดดเด่น

โดยอันดับ 1 คือ บริษัท ไฮโดรเท็ค จำกัด (มหาชน) หรือ HYDRO ราคาหุ้นไตรมาสแรกบวกแรง 175% โดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.2564 อยู่ที่ระดับ0.36 บาท ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 0.99 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.2565 โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจาก HYDRO ขอขึ้นเครื่องหมาย SP เมื่อวันที่ 24 ม.ค.2565 ในการลดทุนจดทะเบียน เพื่อดำเนินการล้างขาดทุนสะสมตามแผน

ซึ่งการลดจำนวนหุ้นมีผลต่อจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้น และในวันที่ 1ก.พ. 2565 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ได้ปลดเครื่องหมาย “SP” หลังจากบริษัทได้ดำเนินการลดทุนตามกระบวนการลดทุนเสร็จสิ้น และจะไม่กำหนดราคาซื้อขายสูงสุดและต่ำสุด (Ceiling & Floor) ของหุ้นสามัญ ซึ่งเป็นวันแรกที่มีการซื้อขาย จึงเป็นเหตุที่ผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง

อันดับ 2  บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA ราคาหุ้นไตรมาสแรกบวกแรง 148.12% โดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.2564 อยู่ที่ระดับ 1.33 บาท ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 3.30 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.2565

ด้านนายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THANA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2565 ที่ 1,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ราว 350 ล้านบาท ที่จะสามารถรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 1/65 ราว 50% ในขณะเดียวกันบริษัทมีโครงการพร้อมขายอยู่ในมืออีก 292 ยูนิต มูลค่า 1,426 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทฯ คาดภาพผลประกอบการจะเด่นชัดในไตรมาส 1/2565 โดยคาดว่ารายได้จะมีการเติบโตมากกว่า 2-3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลมาจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่มีจำนวนมากหลังมีการผ่อนคลายมาตรการ LTV ที่เกิดขึ้นช่วงปลายปี 2564 และบริษัทฯ ได้เร่งการระบายสต็อกในมือ

นอกจากนี้แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีตัวเลขที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการติดเชื้อไม่ได้มีอาการรุนแรงเหมือนครั้งก่อนๆ ส่งผลให้ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ช่วยหนุนให้กำลังซื้อของประชาชนเริ่มกลับมาฟื้นตัวด้วย ในขณะเดียวกันยังคงติดตามสถานการณ์และควบคุมต้นทุนการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด และมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับต้นทุนของบริษัทฯ

ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายปี 2565 ที่ 1,200 ล้านบาท โดยได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่าราว 2,300 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการ THANA Habitat ราชพฤกษ์ ในช่วงปลายไตรมาส 2/65 มูลค่าโครงการราว 1,070 ล้านบาท โครงการ THANA RESIDENCE ในช่วงไตรมาส 3/2565 มูลค่าโครงการราว 800 ล้านบาท และโครงการ THANA Village มูลค่าโครงการราว 500 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ ได้เน้นการพัฒนาสินค้าให้โดดเด่น สร้างความแตกต่างผสานทุกชีวิตทุกช่วงวัยอย่างลงตัว นำเสนอแนวคิดใหม่ๆเชื่อมทุกจุดของผู้อยู่อาศัย ร่วมพัฒนาชีวิตที่ดีกับสังคมและสิ่งแวดล้อม

อันดับ 3 บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO ราคาหุ้นไตรมาสแรกบวกแรง 131.19% โดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.2564 อยู่ที่ระดับ 27.25 บาท ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 3.30 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.2565

โดยนายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ  DITTO  เชื่อมั่นว่าในปีนี้จะยังคงรักษาระดับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ทั้งรายได้และผลกำไร เนื่องจากสถานการการแพร่ระบาดโควิด19 ในปีนี้น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี และเชื่อว่าเศรษฐกิจจะกลับมาคึกคักมากขึ้น

ทั้งนี้ ผลประกอบการในปี 64 สร้างสถิติใหม่สามารถทำกำไรได้สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยมีกำไรสุทธิ 200.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 76% จากปีก่อน โดยรายได้จากการขายและบริการ 1,090.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.2 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 11% จากปี 63 ที่มีรายได้จากการขายและบริการ 986 ล้านบาท

ปัจจัยที่ทำให้สามารถรักษาระดับการเติบโตของรายได้จากการขายและบริการได้อย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการวางรากฐานในธุรกิจระบบบริหารจัดการเอกสาร (DMS) ประกอบกับในปี 64 บริษัทได้ขยายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยให้บริการด้านรักษาความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ (Cyber Security) ซึ่งเป็นการป้องกันความปลอดภัยให้แก่ข้อมูลขององค์กร ทำให้มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 59 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% จากปีก่อน

ส่วนรายได้จากบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมด้านเทคโนโลยี สำหรับโครงการของหน่วยราชการต่าง ๆ มีรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยยังคงมุ่งเน้นขยายงานโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น โครงการท้องฟ้าจำลองและพิพิธภัณฑ์

ด้านรายได้จากธุรกิจให้เช่า จำหน่ายและบริการด้านเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ และสินค้าเทคโนโลยีอื่น ๆ กลุ่มธุรกิจนี้ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายและติดตั้งสินค้า Drive-thru ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการปรับตัวของธุรกิจ Food Chain ในยุค New Normal ถือว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามต้องจับตากลุ่มครอบครัว “รัตนกมลพร” ผู้ถือหุ้นใหญ่ DITTO เข้าซื้อหุ้น บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน)  หรือ TEAMG สัดส่วน 11.79% นำโดย “นายธีระชัย รัตนกมลพร” ซื้อหุ้นจำนวน 80 ล้านหุ้น สัดส่วน 11.76% พร้อมด้วย “นางสาวธิดารัตน์ สุอมรรัตนากุล” ซื้อหุ้นจำนวน 1.50 แสนหุ้น สัดส่วน 0.02% ซึ่งการเข้าถือหุ้นครั้งนี้จะช่วยสร้าง Synergy ร่วมกันมากน้อยขนาดไหน

อันดับ 4 บริษัท พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  หรือ PSG ราคาหุ้นไตรมาสแรกบวกแรง 106.90% โดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.2564 อยู่ที่ระดับ0.58 บาท ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 1.20 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.2565

โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงมาจากกรณี PSG แจ้งข่าวการชนะประมูลงานก่อสร้างโครงการ XPPL Expansion Phase 1 ของ Xekong Power Plant Company Limited มูลค่าโครงการ USD 263,955,452.33 (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือเทียบเท่ากับประมาณ 8.89 พันล้านบาท (โดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ปัจจุบัน) ที่จังหวัดเซกอง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ทั้งนี้จึงน่าจับตามองว่าด้วยมูลค่างานดังกล่าวกว่า 8.8 พันล้านบาทนั้น อาจส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 สามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้

อันดับ 5 บริษัท ควอลลีเทค จำกัด (มหาชน) หรือ QLT ราคาหุ้นไตรมาสแรกบวกแรง 105.10% โดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.2564 อยู่ที่ระดับ 4.12 บาท ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 8.45 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.2565

นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร QTC เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในปี2565 ว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์เชิงรุก เพื่อมุ่งสู่ Superior Long-term Performance หรือการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

โดยปี 2565 ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้แตะที่ระดับ 1,200 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนจาก 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่ง QTC เป็นผู้ผลิตหม้อแปลงแบบ Super low loss รายแรกของประเทศไทย ที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้ถึง 80% และยังมีสินค้าสินหม้อแปลงคุณภาพอื่นๆ อีกมากมายตั้งแต่รุ่นกำลังไฟฟ้า 30 – 30,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ (kVA)

โดยปีนี้เตรียมแผนงานการเข้าประมูลงานของหน่วยงานราชการ อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) มูลค่ารวม 2,500 – 3,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่ามีโอกาสได้งานดังกล่าว ประมาณ 250-300 ล้านบาท หรือประมาณ 10 % ของมูลค่างานโดยรวม และยังมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศออสเตรเลีย และประเทศเพื่อนบ้าน โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการส่งออกหม้อแปลงไฟฟ้าประมาณ 300 ล้านบาท

ขณะที่งานในส่วนของภาคเอกชน อาทิ โครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เตรียมเปิดโครงการ ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากส่วนนี้เข้ามาประมาณ 300 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มียอดมูลค่างานในมือ (Backlog) จำนวน 350 ล้านบาทธุรกิจเทรดดิ้ง ภายใต้การเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ให้กับ LONGI Solar, Trina Solar, การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Huawei Solar Inverter

ซึ่งในปีนี้มีการทำการตลาดเชิงรุกมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับการให้บริการที่ครบวงจร เนื่องจากเล็งเห็นว่าผู้ประกอบการขนาดกลางให้ความสำคัญในการติดตั้งแผงโซลาร์ บนหลังคา เพิ่มขึ้นถึง 60 -70 % และในส่วนของผู้ประกอบการรายใหญ่ก็ให้ความสนใจเพิ่มขึ้น 10-20 % จึงคาดว่าปีนี้ จะมีรายได้จากธุรกิจการจำหน่ายโซลาร์เซลล์ และ Solar Inverter ประมาณ 300 ล้านบาทธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) เฟสแรก จำนวน 4 สถานี หรือ 12 หัวจ่าย โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 15 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ เตรียมดำเนินการให้บริการสถานีน้ำมันแห่งแรกในพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ ย่านแสมดำ และหลังจากนั้นจะขยายเส้นทางสถานีติดตั้งไปสู่เส้นทางเหนือและภาคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดนครราชสีมา โดยคาดว่าจะมีรายได้เข้ามาในช่วงกลางปี 2565

Back to top button