หุ้นโรงกลั่นร่วงยกแผง! โบรกฯแนะเลี่ยงลงทุน หลังรัฐรีดกำไร อุ้มน้ำมันแพง

หุ้นโรงกลั่นร่วงยกแผง! โบรกฯแนะเลี่ยงลงทุน หลังรัฐรีดกำไร อุ้มน้ำมันแพง นำโดย SPRC ร่วงหนัก 8%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้( 17 มิ.ย.2565)ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นร่วงยกแผง นำโดยบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ณ เวลา 10 :03 น. อยู่ที่ระดับ 50.75 บาท ลบ 2.50 บาท หรือลดลง 4.69% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 394.35 ล้านบาท

ส่วนบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC  ณ เวลา 10:06 น. อยู่ที่ระดับ 11.50 บาท ลบ 1.00 บาท หรือ 8.00% สูงสุดที่ระดับ 11.70 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 10.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 234.53 ล้านบาท

ด้านบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ณ เวลา 10:08 น. อยู่ที่ระดับ 3.14 บาท ลบ 0.16 บาท หรือ 4.85% สูงสุดที่ระดับ 3.26 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 225.77 ล้านบาท

ด้านราคาหุ้น บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ณ เวลา 10:09 o.อยู่ที่ระดับ 11.30 บาท ลบ 0.50 บาท หรือ 4.24% สูงสุดที่ระดับ 11.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 169.14 ล้านบาท

ส่วนบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ณ เวลา 10:10 น. อยู่ที่ระดับ 30.00 บาท ลบ 2.25 บาท หรือ 6.98% สูงสุดที่ระดับ 30.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 29.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 132.66 ล้านบาท

ขณะที่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ณ เวลา 10:11 น. อยู่ที่ระดับ 43.75 บาท ลบ 1.50 บาท หรือ 3.31% สูงสุดที่ระดับ45.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 41.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 515.78 ล้านบาท

บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(17มิ.ย.65) ว่า กลุ่มพลังงาน มีปัจจัยจากกรณีรัฐขอความร่วมมือให้โรงกลั่นน้ำมันนำส่งค่าการกลั่นส่วนเกินจากอัตราปกติเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำมาอุดหนุนราคาน้ำมันภายในประเทศเป็นเวลา 3 เดือน คาดว่าจะได้เงินประมาณ 6-7 พันล้านบาท/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน (ก.ค.-ก.ย.65) เพื่ออุดหนุนน้ำมันดีเซล 5-6 พันล้านบาท/เดือน น้ำมันเบนซิน 1 พันล้านบาท/เดือน

โดยวันนี้คาดว่าข่าวดังกล่าวจะสร้าง Sentiment เชิงลบต่อหุ้นโรงกลั่นทั้ง 6 โรง ที่ต้องมีภาระในการร่วมกันส่งเงินราว 1.8-2.1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนในการดำเนินการออกมากจากผู้ประกอบการ คาดว่ากลุ่มที่มีภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นอย่างกลุ่ม ปตท.(PTTGC TOP IRPC) และ BCP อาจเลือกแบ่งกันรับผิดชอบ และกลุ่มโรงกลั่นต่างชาติ ESSO SPRC อาจเลือกไม่ปฏิบัติตามก็ได้ ทั้งนี้ประเมินหากแบ่งกันจ่ายตามสัดส่วนการผลิตน่าจะกระทบต่อค่าการกลั่นของแต่ละบริษัทลดลงประมาณ 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

นอกจากนี้ จะขอความร่วมมือจากโรงแยกก๊าซฯ ซึ่งจะมีกำไรจากส่วนเกินส่วนหนึ่งมา 50% เข้ากองทุนน้ำมัน ประมาณ 1.5 พันล้านบาท/เดือน ซึ่งเมื่อรวมผลกระทบจากโรงกลั่นที่เป็น บ.ลูกของ PTT คาดว่าจะกระทบต่อกำไรของ PTT ไม่เกิน 10%

แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนกลุ่มโรงกลั่นและ PTT ออกไปก่อน รวมถึงรอรายละเอียดที่ชัดเจน และหากราคาน้ำมันทรงตัวสูงไปจนถึงสิ้นปี ตลาดอาจจะกังวลถึงการต่ออายุมาตรการออกไปอีก

อนึ่งผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ (16 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมหารือมาตรการเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชน อันเนื่องมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิ การ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) พร้อมด้วยนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ร่วมแถลงว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการใหม่ คือขอความร่วมมือกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันให้นำส่งกำไรค่าการกลั่นน้ำมันดีเซล ที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ประมาณ 5-6 พันล้านบาทต่อเดือน

โดยจะนำเข้าสู่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และส่งกำไรจากค่าการกลั่นน้ำมันเบนซิน ที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน ในส่วนนี้จะนำมาลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ที่คาดว่าจะลดลงอย่างน้อย 1 บาทต่อลิตรจากราคาปัจจุบัน

นอกจากนี้จะขอความร่วมมือโรงแยกก๊าซส่งกำไรส่วนเกิน  50% เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย คาดว่าจะจัดเก็บได้ 1.5 พันล้านบาทต่อเดือน โดยการนำส่งจะมีระยะเวลา 3 เดือน(ช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.65)

ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากกำหนดระยะเวลา 3 เดือนดังกล่าว เท่ากับว่าโรงกลั่น ต้องนำส่งกำไรค่าการกลั่นน้ำมันดีเซล ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท และกำไรค่าการกลั่นน้ำมันเบนซินประมาณ 3 พันล้านบาท รวมทั้งสิ้นกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท  โดยเบื้องต้นผู้บริหารโรงกลั่นน้ำมันต่างชาติทั้ง 2 แห่ง คือ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ EESO และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC และโรงกลั่นในประเทศบางราย ยืนยันว่า ไม่สามารถส่งเงินตามที่รัฐเสนอได้ เพราะจะทำให้ประสบผลขาดทุนทันที

ด้านนายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุนเอฟเอสเอส อินเตอร์เนอร์เนชั่นแนล จำ กัด (FSSIA) เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า กรณีดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมากกับหุ้นกลุ่มโรงกลั่นจนราคาหุ้นอาจปรับลดลงทั้งกลุ่ม และหากรัฐออกกฎหมายบังคับ จะส่งผลให้โรงกลั่นขาดทุนทันที โดยมองว่า หุ้นกลุ่มปตท.จะปรับลงก่อน โดยเฉพาะบริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) หรือ TOP ส่วนโรงกลั่นต่างชาติ ทั้ง SPRC และ ESSO คงไม่ยอมส่งเงินให้รัฐ เพราะถือเป็นตลาดเสรี  นอกจากรัฐออกกฎหมายบังคับ โดยที่ผ่านมาโรงกลั่นขาดทุนมา 2-3 ปี และเพิ่งมีกำไรแค่ 2 ไตรมาสเท่านั้นเอง

Back to top button