SORKON วางเป้าภายใน 5 ปีรายได้แตะ 6 พันลบ. เล็งหาพันธมิตรเพิ่มสินค้าใหม่

SORKON คาดรายได้ปีนี้โตราว 8% ตั้งเป้ารายได้ปี 59 โต 15% วางเป้าภายใน 5 ปีรายได้แตะ 6 พันลบ. รุกตปท.-เพิ่มสินค้า-ปรับโมเดลร้านอาหาร อยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรตปท.ร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตสินค้าเพิ่ม เช่น กุนเชียง-หมูหยอง ตั้งงบลงทุนรวม 150 ลบ.ในปี 59


นายเจริญ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON  เปิดเผยว่า บริษัทวางกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการขยายตลาดต่างประเทศทั้งการส่งออกและการตั้งฐานการผลิต และเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลาย รวมทั้งปรับโมเดลธุรกิจร้านอาหารในเครือ เพื่อไปสู่จุดหมายรายได้รวมเติบโตแตะ 6 พันล้านบาทภายใน 5 ปี

ส่วนในปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโตราว 8% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.3 พันล้านบาท ซึ่งแนวโน้มยอดขายไตรมาส 4 ปกติจะดีกว่าทุกไตรมาส เพราะเป็นฤดูกาลเฉลิมฉลอง ซึ่งในปีนี่บริษัทได้จัดเตรียมสินค้าแพ็กเก็จของขวัญของฝากให้กับลูกค้าคาดว่ายอดขายจะเติบโตกว่าไตรมาสก่อนหน้าราว 15%

สำหรับปี 59 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15%  โดยบริษัทจะขยายตลาดส่งออกใน 10 ประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำให้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศในปีหน้าสูงขึ้นจาก 33% ในปี 58 เนื่องจากขณะนี้สินค้าที่ส่งไปขายต่างประเทศ เช่น ขนมขบเคี้ยวขายใน 7-8 ประเทศแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

โดยการเติบโตอีกส่วนหนึ่งมาจากการทยอยออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง  เช่น ไส้กรอกปลา ซึ่งในช่วงปลายเดือน ธ.ค.นี้น่าจะออกวางตลาดได้บางส่วน และบริษัทได้ลงทุนสร้างโรงงานผลิตไก่แผ่น ปลาแผ่น ภายใต้แบรนด์”ออง-เทร่”ที่ใช้วัตถุดิบจากเนื้อปลาและเนื้อไก่เพื่อรองรับการรุกขยายตลาดอาหารฮาลาลไปยังกลุ่มลูกค้ามุสลิมทั้งใน AEC และตะวันออกกลาง ซึ่งจะเริ่มส่งออกในเดือน ก.พ.59

รวมทั้งเตรียมออกสินค้าใหม่ คือ คุกกี้หมูหยอง ซึ่งนักท่องเที่ยวชอบมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร โดยได้รับออร์เดอร์ในเดือนธ.ค.นี้แล้วหลายร้อยล้านบาท ลูกค้าหลักเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อดีมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งปกติทำยอดขายอาหารขบเคี้ยวอื่น ๆ เช่น แคปหมูในกลุ่มนี้ได้ดีมาก และเชื่อวาปี 59 ยอดขายจะเติบโตก้าวกระโดด

นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรต่างประเทศเพื่อร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตสินค้าในเครือเพิ่มเติม เช่น กุนเชียง และหมูหยอง เป็นต้น โดยอยู่ระหว่างหารือกับพันธมิตร 1 รายเพื่อตั้งโรงงานในสหรัฐ คาดว่าจะเดือน ธ.ค.น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งบริษัทเตรียมงบลงทุนเบื้องต้นราว 100 ล้านบาท และยังสนใจหาพันธมิตรเพิ่มเติมใน AEC ด้วย

สำหรับธุรกิจของบริษัทในเครือ คือ บริษัท ไทยโฮมฟู้ด (กรุงเทพฯ) จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งจะมีการปรับโมเดลธุรกิจเป็นลักษณะเฟรสไชส์ เพื่อลดภาระของบริษัทในการลงทุนขยายสาขาเอง และยังขยายประเภทอาหาร ได้แก่ ข้าวหมูแดง ข้าวแกง  ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา เนื่องจากบริษัทมีสินค้าลูกชิ้นปลาแบรนด์”แต้จิ๋ว”ที่ได้รับความนิยมมาก โดยจะเริ่มสาขาแรกต้นเดือน ม.ค.59 

ทั้งนี้ บริษัทได้ขยายกำลังการผลิตลูกชิ้นซีฟู้ดจาก 9,000 ตัน/ปี แต่จะเพิ่มเป็น 15,000 ตัน/ปี เพื่อรองรับร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา รวมทั้งขยายช่องทางการตลาดไปทั้งในโมเดิร์นเทรด ตลาดสด รวมถึงตลาดต่างประเทศ

ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารรูปแบบเดิม คือ ข้าวขาหมูยูนนาน ในปี 59 จะเพิ่มสาขาเป็นเท่าตัว จากปีนี้มีสาขาในประเทศ 30 สาขา และเวียงจันทน์ 2 สาขา ซึ่งในปีหน้าจะเพิ่มสาขาในประเทศเป็น 60 สาขา ต่างประเทศเป็น 7 สาขา โดยเพิ่มสาขาเฟรนไชส์ในเขมร 5 แห่ง นอกจากนั้นจะปรับเป็นร้านคีออสด้วย คาดว่าในประเทศไทยสามารถขยายรูปแบบแฟรนไชส์ได้ถึง 30-40 สาขา

ส่วนร้าน “แซบ เอ็กเพรส” ในปี 59 จะปรับรูปแบบรวมเป็นร้านข้าวแกงและอาหารพร้อมทานอื่น ๆ ผนวกเข้าไปด้วย หรืออาจเปิดคู่กันไป เน้นอาหารประจำวันมากขึ้น คาดว่าจะเปิดได้หลายอีก 10 แห่ง จากปัจจุบันมี 6 สาขา เนื่องจากการศึกษาวิจัยพบว่าอาหารพร้อมทานให้อัตรากำไรสุทธิสูงถึง 10-12% และในปีหน้าน่าจะสูงขึ้น หลังจากต้นทุนต่าง ๆ คงที่ ขณะที่ธุรกิจเดิมมีอัตรากำไรสุทธิ 5%

โดยปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากสินค้าในกลุ่มอาหารพื้นเมือง เช่น หมูหยอง กุนเชียง ไส้กรอกอีสาน 40% ลูกชิ้นปลา 38% ขบเขี้ยว 5% ร้านอาหาร 4% ที่เหลืออาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน และธุรกิจฟาร์มหมู

ทั้งนี้ในปี 59 บริษัทตั้งงบลงทุนรวม 150 ล้านบาท ลดลงจากปี 58 ที่ลงทุน 300 ล้านบาท โดยงบฯ 150 ล้านบาท รวมปรับปรุงโรงงาน ซื้อเครื่องจักรใหม่ ปรับปรุงฟาร์มหมู ซึ่งต่อจากนี้ไปธุรกิจร้านอาหารจะปรับนโยบายเป็นเปิดแฟรนไชส์มากขึ้น ทำให้บริษัทไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากแล้ว

Back to top button