TIDLOR ร้อนแรง 16 วันพุ่ง 30% จับตากำไรปีนี้ 3.8 พันล้าน เป้าใหม่ 36 บาท

TIDLOR ราคาร้อนแรง 16 วันพุ่ง 30% หลังกำไรไตรมาส 1/66 ดีกว่าคาด ฟากผู้บริหารมั่นใจคุม NPL ไม่เกิน 1.8% โบรกฯคาดกำไรปี 66 ทะยาน 3.8 พันล้านบาท “บล.ภัทร” แนะนำ “ซื้อ” เป้าใหม่ 36 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 พ.ค.66) ราคาหุ้น บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ณ เวลา 10:22 น. อยู่ที่ระดับ 27 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.93% สูงสุดที่ระดับ 27.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 27.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 50.58 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น TIDLOR ในช่วง 15 วัน (ทำการ) พบว่ามีการปรับเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างร้อนแรง หรือจากระดับราคาปิด ณ วันที่ 2 พ.ค. 2566 อยู่ที่ 20.80 บาท ขณะที่วันนี้ (26 พ.ค. 2566) ราคาอยู่ที่ 27 บาท หรือเปลี่ยนแปลง +30% จากวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2566 นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TIDLOR ได้จัดประชุมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขทางการเงินที่สำคัญของบริษัท และแผนธุรกิจในปี 2566 ยังคงเดินหน้าเติบโตธุรกิจและส่งมอบผลการดำเนินงานตามเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและธุรกิจนายหน้าประกันภัย พร้อมกับกลยุทธ์ปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และบริษัทยังคงมุ่งขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม ในการนำเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ ทั้งบัตรติดล้อ หรือ TIDLOR Card แอปพลิเคชันเงินติดล้อ

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปรับคำแนะนำ TIDLOR ขึ้นเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” หลังประชุมกับผู้บริหารของ TIDLOR พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 33 บาท อิงราคาตลาดต่อหุ้น (P/BV) ปี 2566 ที่ 3.0 เท่า จากเดิม 25 บาท อิง P/BV ปี 2566 ที่ 2.4 เท่า รวมทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังเทรดต่ำที่เพียง 2566 P/BV ที่ 2.4 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวได้ดีกว่าตลาด (Outperform SET) 21% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 ที่ออกมาดีกว่าคาด

ทั้งนี้ มองเป็นบวกมากขึ้นต่อการประชุมนักวิเคราะห์ล่าสุด จากการปรับเป้าหมายหนี้เสีย (NPL) ลงเป็นไม่เกิน 1.8% และค่าใช้จ่ายสำรองลดลงเป็น 3.0-3.35% ขณะที่ผลการดำเนินงานด้านอื่นยังคงเป็นไปตามเดิม ทั้งสินเชื่อที่เติบโตดี 10-20%, ต้นทุนการเงิน (Cost of Fund) ยังเพิ่มขึ้น 0.50% และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (cost to income) ที่จะเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังปี 2566 จากการกลับมาเปิดสาขาจากปัจจุบันที่ชะลอ

นอกจากนี้ ปรับกำไรสุทธิปี 2566 ขึ้น 13% เป็น 3.8 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5% เทียบปีก่อน) และปี 2567 ขึ้น 17% เป็น 4.7 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 22% เทียบปีก่อน) จากการปรับเพิ่มการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ (Loan Growth), ลด NPL และต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) ลงสะท้อนความกังวลที่ลดลง ต่อ NPL ที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอ และทำให้บริษัทสามารถกลับมาปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นในครึ่งหลังของปี 2566 จากปัจจุบันที่อยู่ที่เพียง 2% จากต้นปี (YTD)

บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ปรับคำแนะนำ TIDLOR ขึ้น จาก “ขาย” เป็น “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 22 บาท มาที่ 36 บาท โดยผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ที่ออกมาดี สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง และส่งผลบวกต่อกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำ หลังบริษัทมีการเก็บหนี้ดีขึ้น ทำให้มีตัวเลข NPL อยู่ในระดับต่ำ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดในไตรมาส 2/2566 น่าจะยังเห็นผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง หนุนจากทั้งปัจจัยภายนอก และการควบคุมความเสี่ยงที่ดีของบริษัท จึงปรับคาดการณ์กำไรปี 2566-2568 ขึ้น 4%, 9% และ 10% เพราะความกังวลในเรื่อง Credit cost และการตั้งสำรองลดลง โดย TIDLOR เป็นหุ้นเด่นของหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเป็นบวกสำหรับหุ้น TIDLOR จากการประชุมนักวิเคราะห์ โดยบริษัทยังสามารถเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับปีก่อน แม้เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาจะทรงตัวจากการขยายสินเชื่ออย่างรัดกุม เพื่อควบคุมคุณภาพของสินเชื่อและรอสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน มองว่าไตรมาส 2 กำไรของบริษัทจะสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบปีก่อน แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากปัจจัยตามฤดูกาล

คงประมาณการกำไรทั้งปีที่ 3,739 ล้านบาท โดยคำแนะนำของผู้บริหารยังอยู่ในกรอบสมมติฐานของบล.ทรีนีตี้ เปลี่ยนคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น ”ซื้อเก็งกำไร” เนื่องจากอัพไซด์เริ่มจำกัด หลังจากราคาปรับตัวขึ้นมา 30% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 30 บาท

ทั้งนี้ จากการประชุมนักวิเคราะห์ที่ผ่านมา มีประเด็นสำคัญดังนี้ พอร์ตสินเชื่อไตรมาส 1/2566 ยังเติบโตดีเมื่อเทียบปีก่อน (+32%) แต่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (+2.1%) จากการตั้งใจควบคุมคุณภาพสินทรัพย์มากกว่าตั้งใจขยายพอร์ตสินเชื่อ และจะเริ่มกลับมาขยายพอร์ตสินเชื่อในไตรมาส 2

ซึ่งในไตรมาส 1 ไม่มีการขยายสาขา เนื่องจากมีการขยายสาขามากกว่าปกติในปี 2565 โดยผู้บริหารให้ความเห็นว่าในปี 2565 ผู้ให้เช่าได้รับผลกระทบจากโควิด ส่งผลให้ค่าเช่าถูก ทางบริษัทจึงใช้โอกาสนี้ในการเร่งขยายสาขาและชะลอการขยายสาขาในปี 2566 โดยเป้าหมายการขยายสาขาในปี 2566 อยู่ที่ 50–200 สาขา ซึ่งจะเป็นการขยายสาขาในครึ่งหลังของปี 2566 เป็นต้นไป

ขณะที่ รายได้จากค่าธรรมเนียมธุรกิจประกันยังโตแข็งแกร่ง โดยในไตรมาส 1 โต 28% เมื่อเทียบปีก่อน และมี renewal rate สูงถึง 65% จากคุณภาพของสินค้า และการบริการที่ดีกว่าคู่แข่ง ด้าน credit cost อยู่ที่ 3.1% (อยู่ที่ 0.9% ในไตรมาส 1/2565 และ 3.29% ในไตรมาส 4/2565) ต่ำกว่าที่ผู้บริหารคาด ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี โดยผู้บริหารได้ให้ข้อมูลว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวทำให้คุณภาพสินเชื่อของลูกค้าที่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวดีขึ้น และคาดว่าในไตรมาส 3 จะเป็นช่วงพีกของ credit cost และจะปรับลดลง

ผู้บริหารของบริษัทมีมุมมองเชิงบวกกับผลประกอบการในปีนี้จาก NPL ที่ลดลง และ Credit cost ที่ลดลง โดยมีการปรับลดประมาณการ NPL ลดจาก 2.0% เหลือ 1.8% (NPL อยู่ที่ 1.5% ในไตรมาส 1/2566) และปรับลดประมาณการ Credit cost ลงจาก 3.00-3.50% เป็น 3.00-3.35% (credit cost อยู่ที่ 3.09% ในไตรมาส 1/2566) ทั้งนี้ผู้บริหารยังคงเป้าหมายการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อที่ 10-20% และคงเป้าหมายการโตของรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจประกันที่ 20-25%

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มีมุมองเป็นบวกเช่นกันต่อ TIDLOR จากการปรับลดเป้าหมาย NPLs/loans ratio และ Credit-cost peg ลง อย่างไรก็ตามเป้าหมายทางการเงินโดยรวมยังใกล้เคียงกับประมาณการ โดย TIDLOR ยังคงเป้าหมายสินเชื่อจะเติบโต 10-20% เทียบปีก่อน ในปี 2566 ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินไว้ที่ 18% เทียบปีก่อน โดย TIDLOR ชะลอการเปิดสาขาในครึ่งแรกปี 2566 หลังจากที่เปิดสาขาไปมากในปี 2565 และตั้งเป้าหมายจะเปิดสาขาเพิ่มขึ้นราว 50-100 สาขา ในครึ่งหลังของปี 2566

ทั้งนี้ TIDLOR ประเมินการแข่งขันในอุตสาหกรรมสินเชื่อจำนำทะเบียนจะผ่อนคลายลงหลังจากที่ธนาคารออมสินขายบจ.เงินสดทันใจ ขณะเดียวกันคาด NIM ของ TIDLOR จะถูกดดันจาก Cost of funds ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ TIDLOR ยังคงเป้าหมาย Cost to income ratio ที่ 50% ใกล้เคียงที่ประเมินไว้ โดยคาดแนวโน้ม Cost to income ratio จะเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังปี 2566 จากการขยายสาขาและค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น

อีกทั้ง TIDLOR ปรับลดเป้าหมาย NPLs/loans ratio ลงมาเป็นไม่เกิน 1.8% (เดิมไม่เกิน 2.0%) และปรับลดเป้าหมาย Credit-cost peg ลงมาเป็น 3-3.35% (เดิม 3-3.5%) ใกล้กับที่ประเมิน อย่างไรก็ตามเป้าหมายทางการเงินโดยรวมยังใกล้เคียงกับประมาณการ

Back to top button