BGRIM เด้ง 1% โบรกเชียร์ “ซื้อ” เด่นสุดกลุ่มไฟฟ้า กำไร Q2 ขาขึ้นโต 240%

BGRIM เด้ง 1% ขานรับโบรกประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” โดดเด่นสุดในกลุ่มไฟฟ้า กำไรอยู่ช่วงฟื้นตัวดีต่อเนื่องทุกไตรมาส รับความเสี่ยงจำกัดจากนโยบายพลังงานรัฐบาลใหม่ ด้าน บล.กรุงศรี ประเมินกำไรไตรมาส 2/66 ที่ 500 ล้านบาท โต 240% ส่วนทั้งปี consensus จาก 12 โบรกเกอร์ คาดกำไร 2,523 ล้านบาท ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 44.93 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 มิ.ย. 66) ราคาหุ้น บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ล่าสุด ณ เวลา 10:10 น. อยู่ที่ระดับ 37.75 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.67% สูงสุดที่ระดับ 37.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 37.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 22.51 ล้านบาท

สำหรับ BGRIM ราคาหุ้นนับจากต้นเดือนมิถุนายน 2566 จนถึงวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.57% ส่งผลให้ทางโบรกฯประสารเสียงเชียร์ซื้อ โดยพบว่า Refinitiv consensus จาก 12 โบรกเกอร์ ประเมินรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 69,071 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ 2,522.81 ล้านบาท ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 44.93 บาท

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า หุ้น BGRIM  มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีกว่ากลุ่มฯ ในระยะกลางจากกำไรที่อยู่ในช่วงของการฟื้นตัวและการได้รับความเสี่ยงจำกัดจากนโยบายของรัฐบาลใหม่จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ป้าหมาย 46.00 บาท โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถูกกดดันจากความกังวลของตลาดเกี่ยวกับนโยบายพลังงานของรัฐบาลใหม่ เช่น การปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ Ft จำนวน 70 สตางค์ต่อหน่วย และการปรับรูปแบบการรับซื้อไฟฟ้าของภาครัฐ (การยกเลิกค่าความพร้อมจ่าย)

ทั้งนี้ ประเมินว่า BGRIM ได้รับผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวจำกัด เนื่องจาก 1) ปัจจุบันราคา Asia Spot LNG ได้มีการปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 9-10 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู  ขณะที่ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของต้นทุนเชื้อเพลิง หรือ Energy Price Pool (EPP) มีแนวโน้มลดลงและสามารถชดเชยผลกระทบจากการปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ Ft ได้ และ 2) BGRIM เน้นการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าแบบขนาดเล็ก หรือ SPP และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก ทำให้บริษัทฯ มีความเสี่ยงจากประเด็นการยกเลิกค่าความพร้อมจ่ายจำกัด

ขณะที่บริษัทปรับสมมติฐานราคาก๊าซธรรมชาติปี 2566-2567 ลงเป็น 430 บาทต่อล้านบีทียู  และ 360 บาทต่อล้านบีทียู  ตามลำดับ เพื่อสะท้อนต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มปรับตัวลงต่อเนื่องตามราคา LNG ในตลาดโลกที่ปรับตัวลงและปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งก๊าซเอราวัณที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่บริษัทปรับกำไรปี 2566 เป็น 1,674 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 347% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ปี 2567 กำไร  2,451 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ จากการปรับสมมติฐานอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานอุตสาหกรรม (IU) ในปี 2566-2567 ลงเป็น 4.50 บาท/หน่วย และ 3.90 บาท/หน่วย ตามลำดับ เพื่อสะท้อนการปรับลดค่า Ft ที่เร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้า (ผลจากนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลใหม่)

อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. จะมีการปรับลดค่า Ft งวด พ.ค.–ส.ค. ลง -63.73 สตางค์/หน่วย แต่เบื้องต้นคาดกำไรปกติ ไตรมาสที่ 2/2566  ที่ระดับ 380-400 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน หลังต้นทุนก๊าซธรรมชาติใน EPP มีแนวโน้มลดลงเร็วกว่าค่า Ft (คาดที่ระดับ 400-420 บาทต่อล้านบีทียู) รวมถึงได้รับอานิสงส์จากการรับรู้รายได้จากลูกค้า IU กลุ่มใหม่ในไตรมาส 2/2566  ราว 15-20 เมกะวัตต์ หากมองไปไตรมาส 3/2566  คาดกำไรปกติจะฟื้นตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน รวมถึงเป็นจุดสูงสุดของปีหลังต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มลดลงต่อ และมีจำนวนวันหยุดน้อยกว่าไตรมาส 2/2566 (ไม่มีวันหยุดสงกรานต์)

ขณะที่กำไรปกติไตรมาส 4/2566  มีแนวโน้มเติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน แม้ได้รับผลกระทบจากการปรับค่า Ft รอบ ก.ย.–ธ.ค. แบบเต็มไตรมาส เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงจะสามารถชดเชยผลกระทบได้ แต่คาดกำไรปกติไตรมาส 4/2566 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าตามปัจจัยฤดูกาล (ภาคการผลิตเริ่มชะลอตัวหลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลสิ้นปี)

ทั้งนี้ผลจากการปรับประมาณการส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 เป็น 46.00 บาท/หุ้น มี Upside 21.9% นอกจากนี้หุ้นมี Upside เพิ่มเติมจากการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในต่างประเทศ (คาดมีความชัดเจนอย่างน้อย 1 ดีลในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 )

โดยมองว่า BGRIM มีโอกาสการเคลื่อนไหวของราคาได้ดีกว่ากลุ่มฯ ในระยะกลาง เนื่องจาก 1) กำไรของบริษัทฯ ที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง 2) Bond Yield ที่ผ่านจุดสูงสุดจะส่งผลให้หุ้นกลุ่มปลอดภัย หรือ Defensive (เช่น โรงไฟฟ้า) ถูกปรับค่า PER ขึ้น และ 3) ได้รับความเสี่ยงจำกัดจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ พร้อมให้เป็น Top Pick ของกลุ่มโรงไฟฟ้าสำหรับการลงทุนในช่วงไตรมาส 3/2566

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มีมุมมองกำไรปกติไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 240% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของอัตรากำไรขั้นต้น หรือ GPM การขายไฟ IU ตามค่าไฟภาคอุตสาหกรรมที่คาดเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และลดลง 7% จากไตรมาสก่อน ตามนโยบาย ft ของภาครัฐ เมื่อเทียบกับ ราคาก๊าซฯ ลดลง 10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และลดลง 21% จากไตรมาสก่อน ตามราคา LNG ที่ลดลงหลังความต้องการใช้ในยุโรปและเอเชียลดลงหลังออกจากฤดูหนาว แนะนำ “ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 46.0 บาท

Back to top button