VGI บวก 4% หลังขายล้างพอร์ต KEX รับเงินสดทะลัก 1.5 พันล้าน มั่นใจปีนี้พลิกกำไร

VGI บวก 4% หลังขายล้างพอร์ต KEX รับเงินสดทะลัก 1.5 พันล้าน มั่นใจปีนี้พลิกกำไร ไร้ตั้งด้อยค่าเหมือนปีก่อนหน้า ฟากโบรกฯให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 2.35 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 มี.ค.67) ราคาหุ้น บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ณ เวลา 10:02 น. อยู่ที่ระดับ 1.71บาท บวก 0.07 บาท หรือ 4.27% สูงสุดที่ระดับ 1.74 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 62.43 ล้านบาท

โดยล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สรุปแบบรายงานการจำหน่ายหลักทรัพย์(แบบ 246-2) เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 ของบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX โดยบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ซึ่งเป็นการจำหน่ายหลักทรัพย์คิดเป็น 15.4501% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 โดยจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

นอกจากนี้มีรายงานการจำหน่ายหุ้น KEX โดย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ซึ่งเป็นการจำหน่ายเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น 2.7176% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 2.9589% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ด้านนายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BTS และในฐานะประธานคณะกรรมการบริหาร VGI เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” เกี่ยวกับการพิจารณาขายหุ้นบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ว่า ในส่วนขอ VGI ซึ่งถือหุ้น KEX สัดส่วน 15.45% นั้น บริษัทได้ขายออกไปทั้งหมดแล้ว เพราะมองว่าราคา 5.50 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่ดี ตามที่ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ หรือ IFA แนะนำไว้ก่อนหน้านี้

ขณะที่ VGI ได้ตั้งด้อยค่าผลขาดทุนจากเงินลงทุนในเคอรี่ไปหมดแล้ว นอกจากนี้ยังมองว่า KEX จะยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเร็ว ๆ นี้ ซึ่งบริษัทก็ไม่ต้องการรออีกต่อไปจึงตัดสินใจขายออกไปก่อน ในส่วนของ BTS ซึ่งถือหุ้น KEX อยู่ 5.72% นั้นได้ขายไปแค่บางส่วน เหลือถือไว้เพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น KEX ไปดำเนินการในเรื่องใดบ้าง โดยฝ่ายบริหารคงต้องมีการหารือกันต่อไป แต่มั่นใจว่าการขายหุ้น KEX ทั้งหมดดังกล่าวจะทำให้ผลประกอบการของ VGI ดีขึ้นอย่างชัดเจนแน่นอน เพราะที่ผ่านมา VGI ต้องบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วมจาก KEX

“ผลประกอบการ VGI ปีนี้น่าจะเป็นบวก (กำไร) เพราะไม่ต้องบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วมจาก KEX อีก อย่างปีที่แล้ว KEX ทำให้ VGI ขาดทุนเกือบ 8,000 ล้านบาท เมื่อไม่มีผลขาดทุนของ KEX ก็ย่อมดีกว่าเยอะเลย เพราะโฆษณาของ VGI ทำกำไรอยู่แล้ว” นายกวิน กล่าว

นายกวิน กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีที่ตนเองทยอยซื้อหุ้น BTS รวมอีก 11 ล้านหุ้นว่า การซื้อหุ้นดังกล่าวเป็นการทยอยซื้อสะสมตามปกติ มิได้มีนัยสำคัญแต่อย่างใด

โดยเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นของผู้บริหาร (แบบ 59) ของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS โดยนายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ โดยพบว่าได้ทำธุรกรรมซื้อหุ้น BTS ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 19-21 มีนาคม 2567 รวมจำนวนหุ้นทั้งหมด 11 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินลงทุนรวม 59,225,000 บาท

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. เข้าซื้อหุ้นจำนวน 5 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 5.39 บาท มูลค่า 26,950,000 บาท และวันที่ 20 มี.ค. จำนวน 2.5 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 5.35 บาท มูลค่า 13,375,000 บาท และเมื่อวันที่ 21 มี.ค. จำนวน 3.5 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 5.40 บาท มูลค่า 18,900,000 บาท

โดยธุรกรรมทั้งหมดดำเนินการผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และภายหลังวันที่ 21 มี.ค. 2567 นายกวิน กาญจนพาสน์ ถือหุ้น BTS รวม 616,012,295 หุ้น

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การที่ VGI ขายหุ้นที่ถืออยู่ใน KEX ทั้งหมดนั้น เป็นกรณีที่อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะก่อนหน้านี้ทาง VGI เคยระบุว่า จะขายหุ้น KEX ให้เหลือสัดส่วนการถือแค่ไม่เกิน 15% เท่านั้น แต่สุดท้ายได้พิจารณาขายทั้งหมด 15.45% ซึ่งเบื้องต้น VGI จะได้รับเงินจากการขายหุ้น KEX ครั้งนี้ประมาณ 1,480 ล้านบาท และจะทำให้ VGI ได้รับประโยชน์จากการที่ไม่ต้องบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วมจาก KEX อีก

ทั้งนี้ เชื่อว่า VGI จะนำเงินจากการขายหุ้น KEX ดังกล่าวมาลงทุนขยายธุรกิจร้านค้าปลีก ซึ่งดำเนินการผ่านบริษัท ซุปเปอร์ เทอร์เทิล จำกัด (มหาชน) หรือ Turtle โดยมี 3 ธุรกิจหลัก คือ 1.ร้าน Turtle 2.บริหารพื้นที่เช่าบนสถานีรถไฟฟ้า และ 3.ขยายธุรกิจร่วมกับพาร์ตเนอร์บนสถานีรถไฟฟ้า

ขณะที่ BTS ได้พิจารณาขายหุ้นที่ถืออยู่ใน KEX ออกไป 2.76% เหลือถือไว้เพียง 2.96% ซึ่งเบื้องต้น BTS จะได้รับเงินจากการขายหุ้น KEX ครั้งนี้ประมาณ 260 ล้านบาท และจะทำให้ BTS ได้รับประโยชน์ คือไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจาก KEX อีก รวมทั้งการที่เหลือสัดส่วนถือหุ้นไม่ถึง 3% นั้น ก็จะไม่ส่งผลที่เป็นนัยสำคัญต่อผลประกอบการของ BTS ส่วนเหตุที่ BTS ไม่ขายหุ้น KEX ทั้งหมด ทาง BTS ชี้แจงต่อนักวิเคราะห์ว่ายังมีมุมมองเป็นบวกต่อธุรกิจการขนส่งว่า KEX จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาหุ้น BTS ได้ปรับตัวลดลงพอสมควรแล้ว จึงน่าสนใจในการเข้าไปลงทุน เพราะ BTS ยังมีหลายปัจจัยหนุนในอนาคต เช่น การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี รวมทั้งการได้รับเงินชำระหนี้งานระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) หรืองาน E&M โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย 2 (ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และ ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) วงเงิน 23,488.69 ล้านบาท จากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งจะหนุนให้กระแสเงินสดดีขึ้น

นอกจากนี้ BTS ยังมีแนวโน้มที่จะชนะอีก 2 คดีที่ฟ้องร้องให้กทม. ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและและซ่อมบำรุง (O&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 (ช่วงสถานีสะพานตากสิน-บางหว้า กับอ่อนนุช-แบริ่ง) และส่วนต่อขยายที่ 2 โดยครั้งแรกเป็นเงินประมาณ 11,755 ล้านบาท และการฟ้องร้องครั้งที่ 2 มีวงเงิน 11,068.50 ล้านบาท เนื่องจากศาลปกครองชั้นต้นได้ตัดสินให้ BTS ชนะไปแล้ว และปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด

รายงานข้อมูลจาก Refinitiv consensus ให้ราคาเป้าหมาย VGI เฉลี่ยที่ 2.35 บาท จาก 5 โบรกเกอร์ ราคาเป้าหมาย BTS ที่ 8.18 บาท จาก 9 โบรกเกอร์ และราคาเป้าหมาย KEX ที่ 7.02 บาท จาก 3 โบรกเกอร์

Back to top button