JAS ดีด 5% รับข่าวขึ้น “โฮลดิ้งคอมพานี” เต็มตัว เดินหน้าแตกไลน์ 3 ธุรกิจอินเทรนด์

JAS ดีด 5% หลังก้าวขึ้น “โฮลดิ้งคอมพานี” แตกไลน์ 3 ธุรกิจแนวใหม่ด้าน Generative AI-พลังงานสะอาด-สุขภาพ พร้อมเพิ่มกำลังขุดบิตคอยน์ให้ JTS อีก 1,000 เครื่องภายในปีนี้ เดินหน้าซื้อหุ้นคืนเอาไปลดทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (30 เม.ย.67) ราคาหุ้น บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ณ เวลา 10:13 อยู่ที่ระดับ 3.36 บาท บวก 0.16 บาท หรือ 5.00% ราคาสูงสุด 3.40 บาท ราคาต่ำสุด 3.26 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 174.18 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้นดีดกลับขึ้นมาต่อเนื่อง ตอบรับที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น JAS ประจำปี 67 ของบริษัท เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 67 มีจำนวนผู้ถือหุ้นร่วมประชุมที่ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จำนวน 35 ราย รวมจำนวนหุ้นได้ 48,380,110 หุ้น ผู้ถือหุ้นมอบฉันทะจำนวน 44 ราย รวมหุ้นได้ 4,858,925,546 หุ้น รวม 79 ราย รวมจำนวนหุ้นได้ทั้งสิ้น 4,907,305,656 หุ้น คิดเป็น 57.11% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด 8,592,816,071 หุ้น

นายโสรัชย์ อัศวะประภา รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JAS เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนการปรับโครงสร้างองค์กร (Re-Structuring) ที่ชัดเจนในการตั้งเป้าเป็น Holding Company โดยวางแผนลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจด้าน Generative A.I. ธุรกิจพลังงานสะอาดและธุรกิจด้านสุขภาพ เพื่อสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะสร้างความมั่นคงให้บริษัทอย่างยั่งยืนในอนาคต และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง

โดยปี 67 บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการขายธุรกิจ บริษัท ทริปเปิลทีบรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB มาเป็นทุนในการลงทุน โดยบริษัทมีแผนดำเนินธุรกิจต่อเนื่องในบริษัทย่อย ซึ่งในการลงทุนด้าน AI บริษัทก็ได้มีการศึกษาการเติบโตของตลาด AI ภายในปี 73 ซึ่งภาพรวมตลาดในประเทศไทยมีการประเมินว่ามูลค่าอย่างน้อยน่าจะอยู่ที่ 1.77 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทได้มีการเซ็นสัญญากับบริษัท เคที คอร์ปอเรชั่น (KT) ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของประเทศเกาหลีใต้ และประเมินว่าตลาด AI ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาด AI ของโลกน่าจะอยู่ที่ 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับการลงทุนเรื่อง AI ที่จะทำร่วมกับ KT จะเริ่มที่ประเทศไทย และการขยายในภูมิภาคเอเชียเฉียงใต้ก็มีแผนว่าจะดำเนินการร่วมกัน ขั้นต่อไปคือต้องมีการพูดคุยกันเรื่องการทำ JV ขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจ AI ในภูมิภาคเอเชียเฉียงใต้ ขณะที่ในส่วนของการทำ M&A นั้น ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทำธุรกิจของบริษัท ซึ่งบริษัทก็มีเงินลงทุนพอสมควร แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการศึกษาผ่านบริษัทลูก เช่น เหมืองขุดบิตคอยน์ในอเมริกา อาจเป็นที่ที่ต้นทุนต่ำกว่า มีสภาพคล่องมากกว่า ด้าน M&A ของ AI ก็อยู่ระหว่างการศึกษาวิเคราะห์อยู่เช่นกัน

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนพัฒนาต่อยอด AI ด้านการแพทย์ เพื่อเป็น Healthcare Solutions ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย เช่น การวินิจฉัยโรคเบื้องต้น จัดระบบคิว สรุปข้อมูลคนไข้ การศึกษา เป็นต้น คาดว่าจะมีการเปิดให้บริการ Generative AI ได้ในช่วงปลายปีนี้

โดยปัจจุบันทางกลุ่มบริษัทจะยังคงสานต่อความร่วมมือทางธุรกิจกับกลุ่ม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ให้บริการ IPTV ภายใต้แบรนด์ 3BB GIGATV ที่ในช่วงแรกจะเป็นความร่วมมือทางธุรกิจระยะเวลา 3 ปี รวมถึงมองความเป็นไปได้ในการร่วมมือกันเพื่อพัฒนา Platform IPTV บนระบบ AIS ให้ครอบคลุมทั้งลูกค้า 3BB เดิม และ AIS Fibre อีกด้วย ขณะที่ JAS Green ในการทำธุรกิจ solar rooftop ทางบริษัทไม่ได้มีการดำเนินการต่อ เนื่องจากมีการแข่งขันค่อนข้างดุเดือด มาร์จิ้นน้อย และเป็นธุรกิจที่ต้องใช้คนจำนวนมาก ซึ่งบริษัทเน้นในการใช้เทคโนโลยีมากกว่าจึงไม่ได้ดำเนินการต่อ

ส่วน AI DataCenter บริษัทมองว่าเป็น Internal support เพราะลูกค้าของบริษัทที่ต้องการใช้ JTSLLM ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน AI DataCenter และป้องกันกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูล โดย AI DataCenter ใช้ประกอบสนับสนุนในการให้บริการลูกค้าทั้ง B2B และ B2C

รวมทั้งยังมีทั้งการลงทุนใน Startup หรือบริษัทที่เป็นบริษัทลูกอยู่แล้ว เช่น บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น หรือ JTS ที่ลงทุนเหมืองบิตคอยน์ ที่ปัจจุบันมีบิตคอยน์ประมาณ 300 เหรียญ หรือประมาณ 2 ล้านกว่าบาท มีเครื่องขุดบิตคอยน์อยู่ประมาณ 3,000 เครื่อง และกำลังจะติดตั้งเครื่องขุดรุ่นใหม่เพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายในเร็ว ๆ นี้อีก 1,000 เครื่อง เป็นต้น รวมถึงมีการปรับลดองค์กร Recruitment ที่สามารถลด payroll ลงได้ถึง 40-50% และมองหาผู้รวมทีมใหม่

เนื่องจากบริษัทมีการเปลี่ยนทิศทางธุรกิจและต้องการความรู้ใหม่ ๆ ซึ่งจะต้องมีการ Re-Training ให้ใช้อุปกรณ์ใหม่ ๆ และ Re-Tool การนำอุปกรณ์ใหม่ ๆ มาใช้ในองค์กรในส่วนงานต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุน ส่วนยุทธ์ศาสตร์ในการตั้งเป้า JAS เป็นผู้นำในการลงทุนของกลุ่มบริษัทนั้น เช่น การลงทุนบิตคอยน์ภายใต้บริษัทในกลุ่ม JTS

รวมถึงตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องจากธุรกิจโครงข่ายโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตสำหรับลูกค้าองค์กร และกำหนดเป้าหมายในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาต่อยอดธุรกิจ โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้าน Generative AI ที่คาดว่าจะสามารถเปิดตัว Generative AI ที่ฉลาดและเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาไทย ได้ดีที่สุดภายในปี 2567

นายโสรัชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการซื้อหุ้นคือแบบ GO นั้น ทางบริษัทก็ยืนยันว่ามีความพร้อมและมีเงินพอในการซื้อหุ้นคืนตามแผนที่ได้มีการแจ้งกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการการเงิน (Cash Management) โดยเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไปไม่เกิน 1,504 ล้านบาท ในราคาหุ้นละ 5 บาท/หุ้น เป็นราคาเดียวและรับซื้อในจํานวนไม่เกิน 300,748,563 หุ้น ซึ่งคิดเป็น 3.50% ของหุ้นสามัญที่จําหน่ายแล้วของบริษัทฯ ณ ปัจจุบัน ในช่วงที่ผ่านมาเวลาที่มีการซื้อหุ้นคืน เพื่อเอาไปลดทุนในกรณีนี้ในแง่ของการเงินทำให้ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นในอนาคตดีขึ้น ปันผลต่อหุ้นก็จะมากขึ้น

นอกจากนี้ ในส่วนของกรณีข้อพิพาทระหว่างบริษัทกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จํากัด (มหาชน) หรือ NT (TOT เดิม) ที่มีประมาณ 2-3 คดี โดยเข้าสู่การพิจารณาชั้นศาลปกครองสูงสุดในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมาหากในกรณีที่ JAS ชนะคดีและได้เงินประมาณ 2,500 ล้านบาท และที่เหลือเป็นดอกเบี้ย ส่วนคำถามที่ว่าจะมีการจ่ายปันผลหรือไม่นั้นจากกรณีดังกล่าว ก็มองว่าอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการบริหารจัดการทางการเงิน ภายใต้การพิจารณาของทางคณะกรรมการบริษัท แต่ต้องมีการพิจารณากันอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นยังได้มีการรายงานประจำปีของคณะกรรมการบริษัทเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปี 2566 โดยบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 19,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,078% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ EBIDA จำนวน 23,875 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,099% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนรายได้รวม 28,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,510% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งรายได้ที่มาจากการขายและบริการ 2,221 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% เทียบจากปี 2565 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,673 ล้านบาท

โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จาก 1) กลุ่มธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีโซลูชัน รายได้อยู่ที่ 1,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการให้บริการวงจรเช่าภายในประเทศ และค่าวงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ

2) กลุ่มธุรกิจให้บริการอินเตอร์เน็ตทีวีรายได้อยู่ที่ 133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,200% จากปีก่อน นับจากการขายกิจการบริษัท ทริปเปิลทีบรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) (3BB) ที่ถือโดยบริษัท อคิวเมนท์ จำกัด (ACU) และหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) แล้วเสร็จตั้งวันวันที่ 15 พ.ย.66 ซึ่งกลุ่มบริษัทยังเป็นกลุ่มผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตทีวีภายใต้แบรนด์ 3bb giga tv ให้แก่ลูกค้าของ 3BB จึงทำให้รับรู้รายได้ดังกล่าวจากกลุ่ม AWN ผ่านการให้บริการบริษัท 3BB

3) กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ รายได้อยู่ที่ 359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158% จากปีก่อน มาจากการให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตสำหรับลูกค้าองค์กร ขณะเดียวกันยังมีรายได้จากการกลับรายการหนี้สินของบริษัทย่อย 46 ล้านบาท รวมถึงกำไรจากการขายธุรกิจบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต และขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต (3BB-JASIF) 26,431 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายบริษัทและบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 6,221 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% เมื่อเทียบกับปีก่อน ประกอบด้วยต้นทุนการขายและบริการ 3,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ขณะที่ต้นทุนหลักที่เพิ่มขึ้นมาจากการขยายระบบอินเทอร์เน็ตทีวีให้รองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น และค่าคอนเทนต์ ขณะที่ค่าใช้จ่ายการขาย การบริการ และการบริหาร อยู่ที่ 1,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173% เมื่อเทียบกับปีก่อน ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงาน ค่าใช้จ่ายการปรับโครงสร้างของกลุ่มธุรกิจ การปรับลดขนาดองค์กรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแนวทางในแผนธุรกิจใหม่และค่าใช้จ่ายในการศึกษาแนวทางธุรกิจใหม่ที่จะมีการลงทุนในอนาคต ด้านการด้อยค่าของสินทรัพย์ จำนวน 683 ล้านบาท และการประมาณการหนี้สินจากสัญญาที่สร้างภาระ จำนวน 955 ล้านบาท ทำให้บริษัทไม่ต้องรับภาระในอนาคต ณ สิ้นปี 2566 บริษัทและบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 23,238 ล้านบาท ลดลง 74% เมื่อเทียบจากปีก่อน

โดยรายการที่ลดลงมาจากการขายธุรกิจ 3BB และการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวม JASIF ณ สิ้นปี 2566 สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น 1,512 ล้านบาท ลดลงจากการขายการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวม JASIF สินทรัพย์สิทธิการใช้ 249 ล้านบาท ลดลงจากการขายธุรกิจ 3BB ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน 4,347 ล้านบาท ลดลงจากการขายธุรกิจ 3BB และสินทรัพย์หมุนเวียน 17,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเงินสด และเงินฝากที่ได้รับจากการขายธุรกิจ 3BB และการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวม JASIF ด้านหนี้สินรวม ณ สิ้นปี 2566 บริษัทและบริษัทย่อยมีหนี้สินรวมทั้งสิน 7,001 ล้านบาท ลดลง 92% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลัก ๆ มาจากการขายธุรกิจ 3BB ทำให้ไม่ต้องรับรู้หนี้สินในส่วนนี้อีกต่อไป

Back to top button