
TIDLOR เทรดวันแรกพุ่ง 57% โบรกชี้โฉมใหม่ ROE เด่น–ปันผลคล่อง ชูเป้าสูงสุด 22 บ.
TIDLOR เปิดเทรดวันแรกในนามโฮลดิ้งส์ ราคาหุ้นพุ่งแรงกว่า 57% รับโครงสร้างใหม่เพิ่มความคล่องตัว ธุรกิจประกันโตต่อเนื่อง กำไร Q1/68 ทำสถิติสูงสุด โบรกฯ โบรกมองกำไรปี 68 โต 12% จากสินเชื่อ-ธุรกิจประกัน คุมคุณภาพพอร์ตดีขึ้น หนุน ROE ขยับ และจ่ายปันผลคล่องตัว แนะ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายสูงสุด 22 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 พ.ค. 68) ราคาหุ้น บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ณ เวลา 10:43 น. อยู่ที่ระดับ 15.00 บาท บวก 5.50 บาท หรือ 57.29% สูงสุดที่ระดับ 16.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 14.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 272.85 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในส่วนของ TIDLOR ที่มีการปรับโครงสร้างเป็น บริษัท โฮลดิ้งส์ ทำให้การดำเนินธุรกิจมีความคล่องตัวสูงขึ้น และจะไม่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดในการดำรงสัดส่วนเงินกู้ต่อทุนชำระแล้วไม่เกิน 7:1 เท่า ทำให้จ่ายเงินปันผลได้สูงขึ้น แม้จะมีความท้าทายด้านเศรษฐกิจที่สูงขึ้นทำให้การขยายสินเชื่อสูงสูงยังมีข้อจำกัด และการควบคุมคุณภาพสินเชื่อยังคงเป็นนโยบายหลักต่อเนื่องในปี 2568
ทั้งนี้ มองว่ากำไรสุทธิในปี 2568 เติบโตได้ดีต่อเนื่องที่ 12% หนุนจากการขยายตัวของสินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกันภัย และลำรองหนี้ฯ ลดลดจากการควบคุมคุมคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น และคาดว่า ROE ปรับสูงขึ้น แนะนำ “ซื้อ” ประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 19.00 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า TIDLOR รายงานกำไร 1/68 ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) เพิ่มขึ้น 16.6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 10.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย ทั้งนี้ ผลจากรายได้ที่ยังเติบโต ทั้งรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกัน บวกกับการตั้งสำรองที่ลดลง ช่วยหนุนศักยภาพในการทำกำไรในไตรมาสนี้ให้สามารถทำ New High ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ TIDLOR ยังมีพอร์ตสินเชื่อคงค้างที่เติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ผ่านช่องทางสาขาและบัตรติดล้อที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ TIDLOR ยังมีจุดแข็งในการทำธุรกิจประกันผ่านช่องทางสาขา และผ่านแพลตฟอร์ม InsureTech ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจประกันยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยหนุนรายได้ค่าธรรมเนียมให้เติบโตได้ดี
ส่วนการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อตั้งแต่ไตรมาส 3/67 ส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น โดยมี NPL ต่ำเพียง 1.78% และ Coverage Ratio สูงถึง 255% ซึ่งถือว่าสูงสุดในกลุ่ม
นอกจากนี้คาดผลประกอบการไตรมาส 2/68 จะดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/68 เนื่องจากผลลบจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ได้รับรู้ไปแล้วในไตรมาส 1/68 ขณะที่ไตรมาส 2/68 จะรับผลบวกจาก NPL ที่ลดลง ประกอบกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นจากการเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ และการติดตามทวงถามหนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะส่งผลดีต่อ Credit Cost ที่จะลดลง
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ ซึ่งแม้จะยังไม่เห็นผลชัดในครึ่งแรกของปี 68 แต่อาจกระทบภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี 68
ด้านผู้บริหาร TIDLOR เชื่อว่า จากการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มรายได้จากทั้งดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม จะทำให้กำไรยังเติบโตในระดับ Double Digit ได้ในปีนี้
ปรับโครงสร้างเป็น Holding Company แล้วเสร็จ พร้อมเข้าเทรดวันแรกวันนี้ โดยมีผู้ยื่นแลกหุ้นเดิมถึง 99.4% ของหุ้นทั้งหมด “TIDLOR Holdings” จะเข้าจดทะเบียนแทน “NTL” ซึ่งจะถูกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
การปรับโครงสร้างนี้จะทำให้ TIDLOR ใหม่ มีความยืดหยุ่นในการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดมากขึ้น และช่วยลดผลกระทบต่อ EPS Dilution จากการไม่ต้องจ่ายปันผลเป็นหุ้นเหมือนที่ผ่านมา คาดว่าจะทำให้บริษัทมีความคล่องตัว และเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจในอนาคตได้
ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20.50 บาท เนื่องจากเชื่อว่าการปรับเป็น Holding Company จะช่วยเพิ่มความคล่องตัว และลดแรงกดดันต่อราคาหุ้น
TIDLOR เป็นผู้นำในธุรกิจจำนำทะเบียน มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 30% และเป็นผู้นำในธุรกิจนายหน้าประกัน ทำให้มีรายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทมี ROE ที่ระดับ 15.5% ถือว่าสูง และมี NPL Coverage Ratio สูงสุดในกลุ่มถึง 255% รวมถึงมีคุณภาพสินทรัพย์ดี
ได้รับผลบวกจากดอกเบี้ยขาลง ทำให้ยังเชื่อว่าปีนี้ TIDLOR จะมีกำไรเติบโตขึ้น 12% YoY และทำ New High ได้อีกปี
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มของ TIDLOR จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงจากพอร์ตสินเชื่อที่แข็งแกร่ง โดยคาดว่าต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) ที่ลดลง การเติบโตของสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมจากเบี้ยประกัน จะช่วยหนุนกำไรปี 2568
โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 22 บาทต่อหุ้น (คิดเป็น P/BV ปี 68 ที่ 1.9 เท่า และ ROE ระยะยาวที่ 14.6%) พร้อมแนะนำ “ซื้อ” และคาดว่าหุ้นจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด หลังจากมีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดย TIDLOR Holding จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ใต้ชื่อย่อ ‘TIDLOR’ และ NTL จะถูกเพิกถอนในวันนี้
ส่วนแนวโน้มปี 68 สินเชื่อและเบี้ยประกันเติบโตต่อเนื่อง แม้สินเชื่อไตรมาส 1/68 จะเติบโตชะลอตัว แต่บริษัทตั้งเป้าการเติบโตทั้งปีไว้ในระดับเลขสองหลัก (เทียบกับ 7% YoY ปี 67) ฐานลูกค้าในไตรมาส 1/68 เพิ่มขึ้น 10% จากงวดเดียวของปีก่อน และผู้บริหารระบุว่า ความต้องการสินเชื่อเริ่มฟื้นตัวในเดือนเมษายนในไตรมาส 2/68 บริษัทได้เริ่มแคมเปญกระตุ้นยอดขายประกันวินาศภัย และคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมปีนี้จะเติบโตแซงรายได้ดอกเบี้ย โดยมีแนวโน้มต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นไม่เกิน 15 bps ในไตรมาส 2–3/68
ด้านผู้บริหารระบุว่า credit cost และการก่อหนี้เสีย (NPL Formation) จะลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ในไตรมาส 2/68 จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น โดยตั้งเป้าทั้งสองตัวแปรอยู่ต่ำกว่า 3% และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงจากงวดเดียวของปีก่อน ในปีนี้ สัดส่วน NPL คาดว่าจะต่ำกว่า 2% ตลอดปี และราคาขายรถยนต์มือสองยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งถึงไตรมาส 3/68
ส่วนสินเชื่อรถบรรทุกคาดว่าคุณภาพจะค่อย ๆ ฟื้นตัว แม้บริษัทจะยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ เพราะความไม่แน่นอนจากผลกระทบด้านภาษีในต่างประเทศ
ดังนั้นปรับลดประมาณการ NIM และ credit cost ลง 30 bps เหลือ 15.5% และ 3.0% ตามลำดับ สะท้อนแนวโน้มในปี 68–69 โดยคาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 12% จากงวดเดียวของปีก่อน นำโดยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ และ ROE จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 14.6–15.0% (จาก 14.4% ในปี 67)
ทั้งนี้การเติบโตของกำไรคาดว่าจะอยู่ที่ 11–14% ต่อปี และการจ่ายปันผลในสัดส่วน 30% โดยการเปลี่ยนรูปแบบจากการจ่ายปันผลเป็นหุ้นมาเป็นเงินสดหลังปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น จะทำให้การจ่ายผลตอบแทนมีประสิทธิภาพมากขึ้น