
SNNP เด้ง 2% ปักธงรายได้ปีนี้โต 15% ลุยขยายตลาดไทย-ต่างประเทศ
SNNP บวก 2% คาดผลงานไตรมาส 2/68 โตต่อ ลุยขยายตลาดในประเทศ-ต่างประเทศ ชูกลยุทธ์ “ผสมผสาน” ทั้งสินค้า ช่องทางการขาย และโปรโมชัน พร้อมคงเป้ารายได้รวมปี 68 เติบโต 15%
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (28 พ.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ณ เวลา 10:30 น. อยู่ที่ระดับ 10.70 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.90% สูงสุดที่ระดับ 10.70 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 10.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 0.45 ล้านบาท
นายฐากร ชัยสถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SNNP เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2568 ยังคงเติบโต แต่ไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลกระทบกับตลาดต่างประเทศ ขณะเดียวกัน สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่มีฝนตกเร็วขึ้น ทำให้จำนวนคนเข้าซื้อสินค้าของร้านค้าลดลง
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 ของรายได้รวมไว้ที่ 15% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 5,983.42 ล้านบาท แม้ภาพรวมรายได้ในไตรมาส 1/2568 จะเติบโตเพียง 3% อยู่ที่ 1,496.35 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสัดส่วนรายได้ในปี 2568 คาดว่าจะมาจากรายได้จากการขายภายในประเทศ 75% และรายได้จากยอดขายต่างประเทศ 25%
ขณะที่ประเมินภาพรวมรายได้จากการขายภายในประเทศในปี 2568 จะสามารถเติบโตได้ที่ 10% จากปีก่อน ซึ่งปัจจุบัน SNNP มีการขายผ่านโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) สัดส่วน 60% และเจเนอรัล เทรด (General Trade) คือช่องทางการจัดจำหน่ายแบบดั้งเดิมที่ครอบคลุมร้านค้าปลีกหลากหลายประเภท สัดส่วน 40%
ส่วนรายได้จากการขายต่างประเทศในปี 2568 จะสามารถเติบโตที่ 25% จากปีก่อน โดยประเทศที่สร้างรายได้หลักมาจากประเทศเวียดนาม ซึ่งมีสัดส่วนที่ประมาณ 40% ของรายได้จากการขายต่างประเทศ อีกทั้งยังมีกลุ่มประเทศ CLM (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ซึ่งมีสัดส่วนที่ประมาณ 30% ของรายได้จากการขายต่างประเทศ ส่วนที่เหลือมาจากประเทศอื่น ๆ
นายฐากร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง ทั้ง Jele (เจเล่), เบนโตะ (Bento), เมจิกฟาร์ม และโลตัส เป็นต้น ซึ่งบริษัทมีนโยบายออกสินค้ารสชาติใหม่ ๆ ในแบรนด์ดั้งเดิมเหล่านี้ อย่างน้อยปีละ 1 รสชาติ เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาด และสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคในตลาด ซึ่งจะเป็นหนึ่งในส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนและสร้างยอดขายให้กับบริษัทด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าและให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายและควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของกระบวนการผลิตลดลง ขณะที่กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนการเติบโตจะเป็นการผสมผสานทั้งสินค้าที่ออกสู่ตลาด ช่องทางการจำหน่าย และโปรโมชันที่เหมาะสมกับช่องทางนั้น ๆ เพื่อให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ด้านนายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ SNNP เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจใน 1-3 ปีจากนี้ ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจในและต่างประเทศ หากพิจารณาจากแผนการตลาดตั้งแต่โควิด-19 ถึงปัจจุบัน บริษัทมีทั้งแผนรับและแผนรุก รวมถึงการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย เพื่อให้บริษัทเติบโตได้เป็นเลขสองหลัก ส่วนสิ่งที่กังวล คือ ความท้าทายที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ความไม่แน่นอนของสงครามการค้า เป็นต้น
ขณะที่แนวโน้มในการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง ยังคงมีความระมัดระวัง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายประเมินว่าจะไม่เติบโต และมีความท้าทายในการทำธุรกิจ เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว และสงครามการค้าของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ