CPF ดีดบวก 1% ลุ้นงบ Q2 ออลไทม์ไฮ กำไรทะลุหมื่นล้าน โต 49%

CPF ดีดบวก 1.39% จับตาแจ้งงบไตรมาส 2/68 ทำออลไทม์ไฮ โบรกฯคาดกำไรสุทธิ 10,316 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาสก่อน รับแรงหนุนราคาหมูในไทย-ต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลง เชียร์ “ซื้อ” เป้าราคาสูงสุด 35 บาท พร้อมประเมินไตรมาส 3/68 โตต่อ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(14 ก.ค.68)ราคาหุ้นบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ณ เวลา 11:16น. อยู่ที่ระดับ 21.90 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 1.39% ราคาสูงสุด 22.00 บาท ราคาต่ำสุด 21.70 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 95.85 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คงคําแนะนํา “ซื้อ” หุ้น CPF ให้ราคาเป้าหมาย 35 บาทต่อหุ้น โดยมีมุมมองเป็นบวก หรือ “Positive” ต่อแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2568 ทําสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-time high) คาดจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,316 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาสก่อน

โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2568 ที่เติบโต จะมีปัจจัยหนุนจากธุรกิจสัตว์บก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากราคาหมูในไทยและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ยังคงลดลง โดยเฉพาะราคากากถั่วเหลือง หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เพิ่มขึ้นจากทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ซึ่งชดเชยราคาหมูจีนที่ลดลง กดดันส่วนแบ่งกําไรจาก Chia Tai Investment Co., Ltd. หรือ CTI

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/2568 คาดเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ซึ่งมาจากทิศทางราคาหมูไทยและเวียดนามชะลอตัวลง แต่ยังคงประมาณการกําไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 27,025 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากปีก่อน โดยคาดผลประกอบการในไตรมาส 2/2568 จะเป็นจุดสูงสุด (นิวไฮ) ของปี 2568 และคาดกําไรในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 จะอยู่ที่ 18,865 ล้านบาท ซึ่งจะดีกว่าครึ่งปีหลังจากราคาเนื้อสัตว์ที่ชะลอลง ทั้งนี้ กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกคิดเป็น 70% ของประมาณการกำไรปี 2568 ทั้งปีที่คาดไว้ 27,025 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CPF แต่เป็นรูปแบบเก็งกำไร พร้อมประเมินมูลค่าเหมาะสม 34 บาทต่อหุ้น โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ยังเห็นการเติบโตได้ดี โดยคาดกำไรสุทธิจะอยู่ในระดับสูงถึง 10,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน

โดยปัจจัยบวกมาจากราคาสุกรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่ไทยและเวียดนาม รวมกับต้นทุนการเลี้ยง อย่างกากถั่วเหลืองลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นสูงถึงระดับ 18.9 % แต่ยังคงต้องระมัดระวังผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง ที่อาจจะอ่อนตัวลงจากช่วงครึ่งปีแรกนี้ หลังราคาสุกรในประเทศไทยเริ่มอ่อนตัวลง แต่ราคาที่ลดลงยังคงสูงกว่าต้นทุนอย่างมาก

ส่วนผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนั้น ในส่วนของการส่งออกไปโดยตรงมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่อาจจะกระทบหากมีการนำเข้าสุกรเข้ามา ซึ่งจะต้องดูว่าในส่วนของข้าวโพด หรือกากถั่วเหลือง จะมีการนำเข้ามาหรือไม่ หากมีจะลดผลกระทบลงได้ เพราะจะทำให้ต้นทุนการเลี้ยงลดผลกระทบลงได้ เพราะจะทำให้ต้นทุนการเลี้ยงลดลง

ทั้งนี้ หากกำไรสุทธิของ CPF ในไตรมาส 2/2568 ออกมาตามคาด จะทำให้กำไรในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ในระดับที่สูงถึง 18,755 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 81% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2568 ที่ 23,060 ล้านบาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CPF พร้อมปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 29.75 บาทต่อหุ้น โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 จะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 19% จากไตรมาสก่อน หากรวมดอกเบี้ยจากหุ้นกู้ถาวรแล้วจะมีกำไรหลักอยู่ที่ 9,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน

โดยการเติบโตนี้มาจากการฟื้นตัวของราคาหมูในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในไทย เวียดนาม กัมพูชา และฟิลิปปินส์ ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลง และประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น อีกทั้ง CPF ยังได้รับประโยชน์จากการถือหุ้น CPP เพิ่มเป็น 100% จากเดิม 76.2%

นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังคาดว่าราคาหมูในไทยและเวียดนามน่าจะถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 2/2568 โดยราคาหมูในประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 87 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ราคาหมูในเวียดนามในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 67,000 ดองเวียดนามต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการบริโภคที่ลดลงในช่วงฤดูฝนและอุปทานที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2568 อย่างไรก็ตาม ราคาเนื้อสัตว์ยังคงสูงกว่าครึ่งปีหลังของปี 2567 ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นได้

Back to top button