
TKN บวก 2.54% รับแผนครึ่งหลังรุกตลาดใน-ต่างประเทศ หนุนยอดขายโตต่อเนื่อง
TKN ขยับขึ้น 2.54% รับแผนครึ่งหลังรุกตลาดใน-ต่างประเทศ ดันรายได้และกำไรปีนี้โตกว่าปีก่อน เล็งเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ ออกสินค้าแบรนด์ใหม่ และขยายช่องทางเพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (11 ก.ย.68) ราคาหุ้นบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ณ เวลา 10:39 น. อยู่ที่ระดับ 6.05 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 2.54% สูงสุดที่ระดับ 6.15 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 23.96 ล้านบาท
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2568 จะไม่ต่ำกว่าปีก่อน ที่มีรายได้รวม 5,737.19 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 836.10 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 2,656.56 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 184.91 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานต่างๆ และการวางรากฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต
สำหรับตลาดในประเทศไทย ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 44% ของรายได้รวม ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 บริษัทจะรักษาความต่อเนื่องในเรื่องของโมเมนตัมสำหรับตลาดภายในประเทศ ด้วยการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ (Presenter) คนใหม่ เพื่อจะกระตุ้นตลาดในกลุ่มสินค้าสาหร่ายโรยข้าว ซึ่งเป็นสินค้าตัวใหม่ของ TKN และถือเป็นสินค้าฮีโร่ในขณะนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมามียอดขายที่ดีมาก บริษัทเชื่อว่าจะเป็น New S-Curve ใหม่ ในการเติบโตให้กับบริษัท รวมทั้ง ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 บริษัทเตรียมออกสินค้าแบรนด์ใหม่ ภายใต้ตราสินค้า “ซูเปอร์กรุบ” เป็นเส้นบุกรูปหมึกปรุงรสหม่าล่าผสมโนริสาหร่าย ขนาด 200 กรัม เพื่อสร้างยอดขายในตลาดที่กำลังได้รับความนิยม
ขณะที่ตลาดต่างประเทศ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 56% ของรายได้รวม ซึ่งในปี 2568 ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องภาษี ค่าเงิน คู่แข่ง และต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ซึ่งบริษัทได้ปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตใหม่อีกครั้งในหลาย ๆ ประเทศ เช่น จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น คาดว่าในไตรมาส 3-4 ของปี 2568 จะเริ่มเห็นการปรับกลยุทธ์ รวมถึงต้นทุนต่าง ๆ จะปรับดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังด้วย
โดยตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของ TKN บริษัทจะเน้นการตลาดออนไลน์มากขึ้น เพราะเป็นช่องทางที่ TKN ยังมีโอกาสเติบโตได้ บริษัทจะมีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเลือกนำเสนอสินค้าให้เหมาะกับพื้นที่นั้นๆ รวมทั้งยังพัฒนาช่องทางใหม่ๆ ในการจำหน่ายสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ คาดว่าในปี 2568 ผลการดำเนินงานจากประเทศจีนมีโอกาสจะปิดบวกได้
ส่วนตลาดอินโดนีเซีย TKN มีสัดส่วนการส่งออกเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีน ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 บริษัทจะเน้นการปรับปรุง พัฒนา และกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดยปัจจุบันแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” อยู่ในตลาดดังกล่าวมาแล้ว 18 ปี และเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมากในตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งตลาดอินโดนีเซียยังมีความท้าทาย เห็นได้จากยอดขายที่ชะลอตัวจากเศรษฐกิจที่เติบโตช้า โดยปัจจุบันมีคู่แข่งรายใหม่ ๆ ที่เป็นของท้องถิ่นมามากขึ้น แต่บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยจะเร่งเจาะตลาด Traditional Trade (การขายสินค้าหรือการตลาดแบบดั้งเดิม) ที่ตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งจะมีการร่วมผลิตสินค้ากับพันธมิตรท้องถิ่น เพื่อให้เข้าถึงตลาดล่างได้มากขึ้น ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่ TKN ยังไม่มี
ด้านตลาดมาเลเซีย คาดว่าในช่วง 3 ปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตสูงมาก ซึ่งแบรนด์สินค้าของ TKN เป็นผู้นำในตลาดมากกว่า 10 ปี โดยในปี 2568 จะเน้นพัฒนาสินค้าสาหร่ายในกลุ่มอบ และกลุุ่มโรย ซึ่งน่าจะเป็น New S-Curve ในตลาดมาเลเซียได้
นอกจากนี้ ตลาดสหรัฐอเมริกา บริษัทจะเน้นขยายช่องทางใหม่ ๆ เพื่อลดผลกระทบภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯที่ 19% ซึ่งทำให้ยอดของช่องทางเดิม ๆ ลดลง แต่บริษัทมองว่าจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวในช่องทางเดิม บริษัทได้ทำการพิจารณาปรับการทำงานต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับตลาด รวมถึงการขยายช่องทางการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง
“การเรียกเก็บภาษีนำเข้าในสหรัฐฯ เราได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่ยังมีผลกระทบอยู่ดี เราจึงได้หาตลาดใหม่ทดแทน คือ ยุโรป และอังกฤษ ซึ่งจะเป็นหัวหอกในการขยายตลาดในยุโรป ซึ่งล่าสุด เราได้ตัวแทนจำหน่ายมากแล้ว ขณะที่เทรนด์การบริโภคสาหร่ายในอังกฤษตอนนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จึงถือเป็นโอกาสของเราในการเข้าไป” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจัยหนุนให้ TKN เติบโตในอนาคต จะมาจาก 2 เรื่อง ได้แก่ 1. ต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้สต็อกวัตถุดิบในราคาที่ต่ำลงเพียงพอใช้ถึงกลางปี 2569 และหากแนวโน้มของราคาวัตถุดิบต่ำลงไปถึงปี 2569 จะเป็นโอกาสให้ TKN สามารถเก็บสต็อกสาหร่ายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ปี หลังจากโกดังห้องเย็นที่จะเสร็จใหม่ ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของราคาวัตถุดิบได้ และ 2. ในปี 2568 บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ หลาย ๆ ด้าน ทั้งโรงงาน กระบวนการจัดหาสินค้า บริการ หรือทรัพยากรต่าง ๆ โดยกลยุทธ์หลัก ๆ ที่ใช้ในตลาดต่างประเทศ คือ การหาพันธมิตรท้องถิ่นในการผลิต เพื่อจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยไม่ต้องเพิ่มการลงทุนหนัก ทำให้กลยุทธ์ Asset-light ของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งบริษัทคาดว่าในช่วงปลายปี 2568 และในปี 2569 จะเริ่มเห็นอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้น จาก ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 27.1% จากการปรับตัวของบริษัททั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน