
SKIN พุ่งต่อ 14% ส่งซิกขยายพอร์ต “เมกอัพ-เวชสำอาง” อาเซียน ดันกำไร 2 เท่าตัวภายใน 3 ปี
SKIN พุ่ง 14% เดินเกมขยายพอร์ตตลาดอาเซียน CLMV ตั้งเป้าดันกำไรเติบโต 2 เท่าภายใน 3 ปี ฟากโบรกมองกำไรโตเฉลี่ยปี 68-72 อยู่ที่ 21% รับเทรน์อุตสาหกรรมสกินแคร์
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (25 ก.ย.68) ราคาหุ้น บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN ณ เวลา 4.14 บาท บวก 0.52 บาท หรือ 14.36% สูงสุดที่ระดับ 4.22 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 167.25 ล้านบาท
นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKIN เปิดเผยว่าการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน โดยเชื่อว่าปัจจัยสำคัญมาจากความเชื่อมั่นใน โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง วิสัยทัศน์การเติบโตที่ชัดเจนของบริษัท และการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ที่อยู่ในระดับเหมาะสม สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัท
สำหรับแผนงานหลังการระดมทุน บริษัทตั้งเป้าการเติบโตไม่ต่ำกว่า 2 เท่าภายใน 3 ปี โดยนำเงินทุนไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างแบรนด์ และขยายช่องทางจัดจำหน่ายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมความงามและขยายไลน์สกินแคร์ เวชสำอาง และเมกอัพแคร์
นายชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า จุดแข็งของ SKIN อยู่ที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ Pain Point ของผู้บริโภค โดยคงคุณภาพมาตรฐานสากลในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของบริษัทตั้งแต่ก่อตั้ง ล่าสุดผลิตภัณฑ์ใหม่ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า สะท้อนความแข็งแกร่งของแบรนด์ในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่
นอกจากนี้ ในช่วง 3 ปีหลังจากนี้จะเป็นช่วงสำคัญในการขยายและสร้างฐานลูกค้า โดยเฉพาะในตลาด CLMV ที่เริ่มมีการวางจำหน่ายสินค้าและได้รับกระแสตอบรับที่ดี แม้จะยังไม่รุกตลาดเต็มรูปแบบ โดยจุดแข็งของแบรนด์คือความเข้าใจของสภาพผิวและภูมิอากาศร้อนชื้น ทำให้สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์จากประเทศที่มีภูมิอากาศแตกต่าง เช่น เกาหลีและจีน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านโครงสร้างรายได้ก่อนหน้านี้มาจากสกินแคร์และเวชสำอางเป็นโดยมีสัดส่วนหลักราว 40% ซึ่งปัจจุบันไลน์สินค้าใหม่ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างมอยส์เจอไรเซอร์และเครื่องสำอางเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในส่วนของรายได้หลักยังคงมาจากร้านค้าสะดวกซื้อ ใกล้เคียงกับช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้ บริษัทเริ่มรุกขยายตลาดไปยัง Beauty Store ซึ่งคาดว่าจะเป็น “Destination” สำคัญของผู้บริโภคและช่วยผลักดันการเติบโตในอนาคต ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้ออฟไลน์อยู่ที่ 65% และออนไลน์อยู่ที่ 35% ทั้งนี้บริษัทคาดว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในการซื้อสินค้า
ขณะที่แนวโน้มตลาดสกินแคร์และเครื่องสำอางไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยังคงเป็นหมวดสินค้าอุปโภคที่ผู้บริโภคพร้อมใช้จ่าย เพราะถือเป็นการสร้างความสุขและการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน
นายชาญวิทย์ ตอกย้ำว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันจะเข้าสู่ยุค Smart Consumer ที่ตัดสินใจซื้อจากข้อมูลจริง ใส่ใจในเรื่องของส่วนผสม ส่วนประกอบต่างๆ ในผลิตภัณฑ์มากขึ้น รวมไปถึงประสิทธิภาพของสินค้า และผลการทดสอบ ในการเลือกซื้อสินค้า หากบริษัทมีความโปร่งใสและนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ก็จะสามารถครองใจตลาดได้ในระยะยาว นายชาญวิทย์
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI คาดผลประกอบการของ SKIN จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 21% ระหว่างปี 2567-2572 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 21% หนุนจากการคาดการณ์รายได้ที่จะเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจาก 1.) ภาพรวมอุตสาหกรรมสกินแคร์และเครื่องสำอางที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.6% ต่อปี และตลาดผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี 2.) การออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง 3.) กลยุทธ์การตลาดที่ช่วยกระตุ้นการรับรู้แบรนด์ และ 4.) การบริหารจัดการช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น SKIN ที่ 3.10 บาท/หุ้น โดยอิงค่า P/E ปี 2569 ที่ 16 เท่า ซึ่งถือว่าให้ Premium เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ซื้อขายอยู่ที่ 12 เท่า สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของผลประกอบการจากฐานที่ต่ำ ประกอบกับแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค และแผนการขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างประเทศภายในปี 2570