หุ้นโรงไฟฟ้าวิ่งคึก! รับ “พลังงาน” ดัน 8 บิ๊กโปรเจกต์ กระตุ้นเศรษฐกิจ 7 แสนล้าน

หุ้นโรงไฟฟ้าวิ่งคึก! นำโดย GUNKUL-BGRIM-GULF-WHAUP รับ “อรรถพล” ประกาศผลักดัน 8 โครงการ Quick Big Win ด้านพลังงาน กระตุ้นเศรษฐกิจรวมกว่า 700,000 ล้านบาท สร้างงานกว่า 16,000 ตำแหน่ง พร้อมหนุนเป้าหมาย Net Zero ปี 93 จับตาโครงการเด่น โซลาร์ชุมชน, โซลาร์ลอยน้ำ 3 เขื่อน, Direct PPA ภาคอุตสาหกรรม, โครงการ CCS โบรกฯ มองหุ้นไฟฟ้า-พลังงานที่ได้ประโยชน์ชัดเจน


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (9 ต.ค.68) ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าบวกคึก นำโดย บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ณ เวลา 10.25 น. อยู่ที่ระดับ 2.02 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 2.54% สูงสุดที่ระดับ 2.04 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.98 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 30.20 ล้านบาท

บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาหุ้น ณ เวลา 10:25 น. อยู่ที่ระดับ 44.00 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.57% สูงสุดที่ระดับ 44.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 43.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 211.55 ล้านบาท

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราคาหุ้น ณ เวลา 10:28 น. อยู่ที่ระดับ 14.40 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.41% สูงสุดที่ระดับ 14.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 14.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 72.35 ล้านบาท

บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ณ เวลา 10:31 น. อยู่ที่ระดับ 4.06 บาท บวก 0.02 บาท หรือ 0.50% สูงสุดที่ระดับ 4.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.02 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.67 ล้านบาท

ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวแถลงนโยบายพลังงานว่า ช่วง 4 เดือนนับจากนี้ จะเร่งผลักดันนโยบาย “Quick Big Win” ด้านพลังงาน ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ทั้งด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมการลงทุน การผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ และการส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้คาดว่าประโยชน์ที่จะได้รับด้านนโยบายพลังงาน จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้กว่า 700,000 ล้านบาท เกิดการสร้างงานกว่า 16,000 ตำแหน่ง ลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี สู่เป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้นในปี 2593 จากปี 2608

: เร่งลงทุน 8 โครงการใหญ่

สำหรับนโยบายด้านพลังงาน ภาคประชาชน จะผลักดันทั้งหมด 8 โครงการ ประกอบด้วย 1) โครงการโซลาร์ชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อชุมชน ช่วยลดค่าไฟในชุมชน คาดว่าจะประกาศรับซื้อได้ภายในเดือน พ.ย. 2568 เกิดการสร้างงาน 1,600 ตำแหน่ง เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ 30,000 ล้าบาท ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 0.80 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

2) โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร ตั้งเป้าหมาย 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7 แสนไร่ทั่วประเทศ แบ่งเป็นกองทุนพัฒนาไฟฟ้า 50 ระบบ วงเงิน 536 ล้านบาท กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาาน 1,150 ระบบ วงเงิน 11,960 ล้านบาท กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ ตั้งเป้าหมายลดค่าพลังงาน 1,500 บาทต่อไร่ต่อปี คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 12,500 ล้านบาท สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 0.06 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

3) การเร่งรัดมาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์เซลล์ แต่ไม่เกินจริง 200,000 บาทต่อครัวเรือน ตั้งเป้าผู้เข้าร่วม 90,000 ครัวเรือน เริ่มดำเนินการหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตั้งเป้าหมายลดการใช้ไฟฟ้ากว่า 585 ล้านหน่วยต่อปี เกิดการสร้างงานกว่า 450 ตำแหน่ง กระตุ้นเศรษฐกิจ 20,250 ล้านบาท สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 0.28 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

4) โครงการโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กำลังการผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ จากเขื่อนภูมิพล 778 เมกะวัตต์ เขื่อนศรีนครินทร์ 770 เมกะวัตต์ และเขื่อนวชิราลงกรณ 90 เมกะวัตต์ คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 53,000 ล้านบาท ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 0.82 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

5) นโยบายด้านพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม จะทำสัญญาซื้อขายพลังงานโดยตรงระหว่างผู้ผลิตพลังงาน และผู้ใช้พลังงานโดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) 2,000 เมกะวัตต์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รองรับอุตสาหกรรม Data Center จะเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาร่างหลักเกณ์และอัตราค่าบริการ TPA ภายในเดือน พ.ย.นี้ กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน 2,600 เมกะวัตต์ เกิดการสร้างงานกว่า 3,094 ตำแหน่ง คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ 65,000 ล้านบาท สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 1.66 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

6) การพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทั้งการพัฒนาระบบผลิตและระบบส่งไฟฟ้าด้วยกรอบงบประมาณเดิม สามารถรองรับปริมาณความต้องการไฟฟ้าได้ 800 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นจังหวัดชลบุรี 650 เมกะวัตต์ ระยอง 150 เมกะวัตต์ รองรับธุรกิจ Data Center 16 ราย ที่ต้องการไฟฟ้าประมาณ 3,817.5 เมกะวัตต์ ในปี 2580 คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปี 2568-2570 ประมาณ 1,380 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายไทยมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 50% ในปี 2580

7) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม ผ่านกลไกกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เช่น การสนับสนุนการลงทุนปรับเปลี่ยนปรับปรุงเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งเป้าลดการใช้พลังงานได้ 10 ktoe ต่อปี คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 800 ล้านบาท สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 0.03 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

สำหรับการสร้างความยั่งยืนระยะยาว รองรับ Net Zero ปี 2593 จะผลักดันโครงการโซลาร์ภาคประชาชน สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 1.96 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ซึ่งอยู่ระหว่างเร่งจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ​ (PDP) จะทบทวนรายละเอียดให้ตอบโจทย์กับเป้าหมายใหม่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero และนโยบายพลังงาน เช่น พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น และสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากภาคประชาชน

8) การพัฒนาการดับจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) นำร่องในแหล่งอาทิตย์ เริ่มการเก็บคาร์บอนในปี 2571 ปริมาณการกักเก็บตลอดโครงการรวม 8 ล้านตันคาร์บอน และแหล่งอ่าวไทยตอนบน เริ่มการเก็บคาร์บอนในปี 2577 ปริมาณการกักเก็บตลอดโครงการ 225 ล้านตันคาร์บอน รวมสามารถกักเก็บคาร์บอนได้กว่า 230 ล้านตันคาร์บอนได ออกไซด์ต่อปี เกิดการสร้างงานกว่า 11,000 ตำแหน่ง กระตุ้นเศรษฐกิจ 540,000 ล้านบาท ลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 6.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

สำหรับนโยบายดูแลราคาพลังงาน ทั้งน้ำมันดีเซล ก๊าซ LPG และค่าไฟ ยืนยันว่ากระทรวงพลังงานจะยังคงดูแลต่อไป โดยยังตรึงราคาดีเซล ไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคา LPG ยังคงเดิม 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม และค่าไฟงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2569 จะไม่สูงขึ้นไปกว่าเดิมแน่นอน และจะพยายามหาเครื่องมือเพื่อช่วยลดค่าไฟต่อไป

:เซ็นเอ็มโอยูพลังงานอาเซียน

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากได้รับตำแหน่งและรัฐบาลได้มีการแถลงนโยบายอย่างเป็นทางการแล้ว ก็ได้เร่งดำเนินงานโครงการที่สำคัญในหลากหลายมิติ ซึ่งส่วนของการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงพลังงานก็ได้นำเสนอเรื่องเข้า ครม. 2 เรื่องสำคัญที่จะต้องมีการลงนามระหว่างรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน 10 ประเทศในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานครั้งที่ 43 หรือ AMEM จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-17 ต.ค. 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย

โดยเรื่องแรกนั้นเป็นร่างบันทึกความเข้าใจเพิ่มเติมว่าด้วยโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (Enhanced Memorandum of Understanding on ASEAN Power Grid) จะมีผลบังคับใช้หลังจากประเทศสมาชิกอาเซียนส่งมอบสัตยาบันเรียบร้อยแล้ว โดยสาระสำคัญ ได้แก่ 1) การส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมเพื่อขยายความเชื่อมโยงด้านไฟฟ้าภายในภูมิภาค ทั้งในพื้นที่บนบกและในทะเล ด้วยการพัฒนานโยบาย การพัฒนาตลาดไฟฟ้าอาเซียน โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมเทคโนโลยีและการใช้ประโยชน์จากพลังงานสะอาด โดยต้องสอดคล้องกับบริบทและกฎหมายของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน

2) อาเซียนจะร่วมกันศึกษา ประเมินและทบทวนนโยบาย กฎหมาย และแผนงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน โดยการผลักดันการดำเนินกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงาน/องค์กร/คู่เจรจา เพื่อจัดสนับสนุนงบประมาณ เงินลงทุน และการสนับสนุนด้านเทคนิคที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินกิจกรรม/โครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์

ส่วนเรื่องที่ 2 เป็นร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Petroleum Security) ซึ่งจะร่วมกันจัดตั้งกลไกสำหรับช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่กำลังประสบปัญหาการขาดแคลนปิโตรเลียมในสภาวะวิกฤตด้านพลังงานหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยการร่วมกันจัดหา/แบ่งปันปิโตรเลียมให้ประเทศผู้ประสบปัญหาเพื่อบรรเทาปัญหา โดยการให้ความช่วยเหลือจะเป็นไปตามความสมัครใจและความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ สมาชิกอาเซียนจะร่วมกันพัฒนาและปรับใช้มาตรการด้านพลังงานทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคพลังงานในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นต้น

:หุ้นไฟฟ้า-พลังงาน-ก่อสร้างคึก

นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการหัวหน้าฝ่ายวิจัยสถาบัน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อราคาหุ้นกลุ่มไฟฟ้า ที่จะรับผลดีจากนโยบายของรมว.พลังงานคนใหม่ที่ผลักดันโซลาร์เซลล์ ทั้งโซลาร์ชุมชน การลดหย่อนภาษีติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป แต่หากมองว่าหุ้นตัวใดที่จะรับประโยชน์มากที่สุด เชื่อว่าจะเป็นบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ที่มีธุรกิจครอบคลุม ทั้งการก่อสร้าง (EPC) และจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้าครบวงจร

ขณะที่บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ก็มีความร่วมมือกับ GUNKUL ดังนั้นมองว่าทั้ง GUNKUL และ GULF มีโอกาสคว้างานโซลาร์ชุมชนมากที่สุด

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กรณีรัฐบาลเดินหน้าโครงการและมาตรการพลังงานสำคัญ คาดว่า บริษัทจดทะเบียนที่จะได้รับประโยชน์ชัดเจน แบ่งเป็น 1) โครงการโซลาร์ชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ 30,000 ล้านบาท หุ้นได้ประโยชน์ ได้แก่ GUNKUL 2) โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร กระตุ้นเศรษฐกิจ 12,500 ล้านบาท หุ้นได้ประโยชน์ ได้แก่ GUNKUL 3) มาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์เซลล์กระตุ้นเศรษฐกิจ 20,250 ล้านบาท หุ้นได้ประโยชน์ ได้แก่ GUNKUL

4) โครงการโซลาร์ลอยน้ำ 3 เขื่อน กระตุ้นเศรษฐกิจ 53,000 ล้านบาท หุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) BGRIM รับงาน EPC โครงการโซลาร์ลอยน้ำ 5) Direct PPA ภาคอุตสาหกรรม กระตุ้นเศรษฐกิจ 65,000 ล้านบาท หุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP (เพิ่มโอกาสขายไฟให้ Data center)

6) พัฒนาระบบไฟฟ้า EEC กระตุ้นเศรษฐกิจ 1,380 ล้านบาท หุ้นได้ประโยชน์ ได้แก่ GUNKUL ดำเนินธุรกิจก่อสร้างสายส่งและสถานีจ่ายไฟฟ้า 7) พัฒนาการดับจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) กระตุ้นเศรษฐกิจ 540,000 ล้านบาท นำร่องในแหล่งอาทิตย์ และอ่าวไทย หุ้นได้ประโยชน์ ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) โครงการและมาตรการที่กระทรวงพลังงานออกมาล่าสุด เป็นบวกต่อหุ้น GULF, BGRIM และ GUNKUL มากสุด เช่นเดียวกับ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON  และบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK

Back to top button