AOT บวกต่อ 1% รับกบร. จ่อเคาะขึ้นค่า “PSC” 200 บาท พ.ย.นี้ หนุนรายได้พุ่ง 1.1 หมื่นล้าน

AOT วิ่ง 1% เตรียมเสนอกบร. พิจารณาปรับขึ้นค่า PSC พ.ย.นี้ ครั้งเดียวมากกว่า 200 บาทต่อคน คาดเพิ่มรายได้ปีละกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท หนุนรายได้และกำไรฟื้นตัว โบรกปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 47 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 ต.ค.68) ณ เวลา 10:13 น. ราคาหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT อยู่ที่ระดับ 41.25 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.23% สูงสุดที่ระดับ 41.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 40.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 153.82 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา เป็นผลมาจากที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 มีมติแต่งตั้งนายชนินทร์ แก่นหิรัญ เป็นกรรมการในคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) แทนกรรมการที่ลาออกก่อนครบวาระ มีผลตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิด เผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” คาดว่า กบร. จะมีการประชุมครั้งแรกช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อพิจารณาเรื่องสำคัญที่บริษัทฯ เสนอขอปรับขึ้น Passenger Service Charge (PSC) หากได้รับการอนุมัติก็จะใช้เวลาประกาศล่วงหน้า 4 เดือน จึงจะมีผลบังคับใช้

เดิมทีบริษัทมีแผนจะขอปรับขึ้นค่า PSC ปีนี้จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งแรกได้เสนอขอปรับขึ้น 5 บาทต่อคน ส่วนครั้งที่สองมีแผนจะเสนอปรับเพิ่มอีกมากกว่า 100 บาทต่อคนในเดือนตุลาคม ทั้งนี้การพิจารณาครั้งแรกยังไม่ได้รับอนุมัติ เนื่องจากต้องรอการแต่งตั้ง กบร.

ดังนั้น บริษัทจึงตัดสินใจปรับแนวทางใหม่ โดยจะเสนอการปรับขึ้นค่า PSC ครั้งเดียว รวมเป็นมากกว่า 200 บาทต่อคน เพื่อให้กระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่ต้องเสนอหลายครั้ง ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทต้องแบกรับภาระขาดทุนจากอัตราค่า PSC ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจำนวนมาก

โดยบริษัทฯ เตรียมเสนอ กบร. ขอปรับขึ้นค่าธรรมเนียมสนามบิน ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ และค่าธรรมเนียมสนามบิน ผู้โดยสารขาออกในประเทศ หรือ Passenger Service Charges (PSC) ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ภูเก็ต และแม่ฟ้าหลวง เบื้องต้นจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 บาทต่อคน แบ่งเป็น PSC จากโดยผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ปัจจุบันจัดเก็บที่ 730 บาทต่อคน และผู้โดยสารขาออกในประเทศ ปัจจุบันเก็บ 130 บาทต่อคน

นางสาวปวีณา กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charge: PSC) ทุก ๆ 100 บาทต่อคน สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้บริษัทประมาณ 3,500 ล้านบาทต่อปี ขณะที่การปรับขึ้นในเที่ยวบินภายในประเทศ ทุก ๆ 100 บาทต่อคน จะเพิ่มรายได้อีก 2,000 ล้านบาทต่อปี รวมกันแล้วจะเพิ่มรายได้ราว 5,500 ล้านบาทต่อปี

โดยหากมีการปรับขึ้นค่า PSC เป็น 200 บาทต่อคน ทั้งในเส้นทางระหว่างประเทศและภายในประเทศ จะส่งผลให้รายได้ของ AOT เพิ่มขึ้นรวมประมาณ 11,000 ล้านบาทต่อปี

ปัจจุบันอัตราค่า PSC ที่จัดเก็บอยู่นั้นยังไม่ครอบคลุมต้นทุนการดำเนินงาน โดย AOT ประสบภาวะขาดทุนจากต้นทุนต่อผู้โดยสารระหว่างประเทศประมาณ 200 บาทต่อคน และขาดทุนจากผู้โดยสารภายในประเทศราว 50 บาทต่อคน หรือเฉลี่ยขาดทุนอยู่ที่ 125 บาทต่อคน ทำให้การปรับขึ้นอัตราค่า PSC ถือเป็นมาตรการจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง และรองรับการลงทุนขยายสนามบินในอนาคต

ในส่วนความคืบหน้าการเซ็นสัญญาระหว่าง AOT และบริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA ผู้ชนะประมูลผู้ประกอบการรายที่ 3 ทั้ง 2 โครงการ วงเงินรวม 67,305 ล้านบาท คือ โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วงเงิน 29,390.76 ล้านบาท และโครงการให้บริการคลังสินค้า (คาร์โก้) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วงเงิน 37,914.56 ล้านบาท อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาร่างสัญญาโดยสำนักอัยการสูงสุด ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนเช่นกัน

ทั้งนี้ AOTGA ปัจจุบัน ถือหุ้นโดย AOT สัดส่วน 49% และบริษัท เอสเอแอล กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ SAL ถือหุ้นอีก 51%, บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ถือหุ้นใน SAL 46.8%, บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III ถือหุ้น 25.46%, บริษัท มายบ็อกส์ จำกัด ถือหุ้น 13.60%) ทำให้ SKY มีสัดส่วนการถือหุ้นใน AOTGA ประมาณ 24%)

ขณะเดียวกัน การเจรจากับกลุ่ม คิง เพาเวอร์ (King Power) ยังอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด โดยที่ปรึกษาคาดว่าจะสรุปผลการศึกษาได้ภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้

นางสาวปวีณา กล่าวว่า AOT จะเร่งสร้างรายได้จากกิจการการบิน (Aeronautical Revenues) ให้นำการเติบโตของบริษัทในระยะยาว ไม่ต้องพึ่งพารายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบิน (Non-Aeronautical Revenue) หรือจากกลุ่มคิง เพาเวอร์ หรือ King Power มากเกินไปเหมือนในอดีต เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ด้านพลอากาศเอกมนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท.เปิดเผยว่า กพท.ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) เตรียมเสนอวาระที่ประชุมคณะกรรมการ กบร.ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน เพื่อพิจารณาอนุมัติในหลายประเด็น โดยเรื่องสำคัญได้แก่ การขอปรับอัตราค่าบริการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ (PSC)

เนื่องจากผู้ให้บริการท่าอากาศยานได้มีการลงทุนปรับปรุง อุปกรณ์ และระบบเทคโนโลยี เพื่ออำนวยการในการให้บริการกับผู้โดยสาร ให้ได้รับความสะดวกรวดเร็ว ได้แก่  Common Use Terminal Equipment: CUTE, Common Use Self Service: CUSS และ Common Use Bag Drop: CUBD ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้น และอาจเป็นอุปสรรคในการแข่งขัน โดยกพท.ได้พิจารณาอัตราที่จัดเก็บ เปรียบเทียบกับประเทศอื่น และเพื่อให้ผู้ให้บริการสนามบินมีรายได้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงดูเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และความสะดวกที่ผู้โดยสารจะได้รับด้วย

โดยก่อนหน้านี้ AOT ขอปรับค่า PSC สนามบินทั้ง 6 แห่ง อัตรา 5 บาทต่อคน จะทำให้ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ จัดเก็บจาก 730 บาทเป็น 735 บาทต่อคน และกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ขอขึ้น PSC  ในอัตรา 25 บาท ที่ท่าอากาศยานตรังจาก 400 บาท เป็น 425 บาท

พร้อมกันนี้ยังเสนอขอแก้ไข ข้อกำหนด กบร. เรื่องการนำเข้าอากาศยานขออนุญาตจดทะเบียนเพื่อนำมาให้บริการ จากปัจจุบันที่ประกาศโดยกำหนดอายุอากาศยาน ขอแก้ไขเป็นไม่กำหนดอายุอากาศยาน แต่จะกำหนดเป็นความสมควรเดินอากาศ ( Airworthiness of Aircraft ) แทน หรือตรวจสภาพเครื่องบิน มีความปลอดภัยตามมาตรฐานในการให้บริการ

ปัจจุบันมีผู้ประกอบการสายการบินหลายราย เตรียมเช่าเครื่องบินมาให้บริการ การปลดล็อกอายุเครื่องบิน จะทำใหัตลาดการบินในประเทศไทย ที่มีความต้องการเครื่องบินสูงมาก มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ไม่ได้กำหนดเรื่องอายุอากาศยานไว้ การกำหนดอายุเป็นเรื่องของแต่ละประเทศที่จะกำหนด หรือไม่

ขณะที่ปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่มีการกำหนดอายุอากาศยาน แต่ใช้วิธีการตรวจสอบมาตรฐานมากกว่า ซึ่งความปลอดภัยทางการบินมีมาตรฐานสูง ตั้งแต่การนำเครื่องเข้าจดทะเบียน และมีการตรวจสอบตามวงรอบการใช้งานอีก ส่วนอายุกำหนดไว้เฉย ๆ แต่ในทางปฏิบัติเป็นเรื่องของการตรวจสอบมาตรฐานมากกว่า

ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและคล่องตัว เนื่องจากปัจจุบันตลาดการบินมีความต้องการเครื่องบินสูง ขณะที่ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตเครื่องบินใหม่ได้ทันกับความต้องการ อีกทั้งการกำหนดอายุอากาศยานดังกล่าว ทำให้ตลาดการให้บริการทางอากาศของประเทศไทยไม่เติบโตเท่าที่ควร ไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นการปลดล็อกอายุเครื่องบิน จะทำให้ผู้ให้บริการสายการบิน สามารถนำเครื่องบินเช่าที่มีการตรวจสอบสภาพตามมาตรฐานมาให้บริการได้ตามความต้องการ

โดยประเทศไทยมีการกำหนดอายุอากาศยานที่จะนำมาจดทะเบียนให้บริการ 3 ประเภท ได้แก่ 1. เฮลิคอปเตอร์ กำหนดอายุไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ผลิต หรือตามที่กฎหมายกำหนด 2. อากาศยานปีกแข็ง หรือเครื่องบินโดยสาร กำหนดอายุอากาศยานที่นำมาให้บริการต้องไม่เกิน 16 ปี นับแต่วันที่ผลิต หรือตามที่กฎหมายกำหนด 3. เครื่องบินขนส่งสินค้า กำหนดอายุไม่เกิน 22 ปี

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ปรับคำแนะนำลงทุนหุ้น AOT ขึ้นเป็น “ซื้อ” พร้อมเพิ่มราคาเป้าหมายพื้นฐานเป็น 47 บาท จาก 27 บาท ปัจจัยหลักที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็น “Game Changer” คือการปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ในปีงบประมาณ 2569

อย่างไรก็ตามคาดว่าค่า PSC ผู้โดยสารระหว่างประเทศ ปรับขึ้นอีก 200 บาท เป็น 930 บาท/คน ผู้โดยสารในประเทศ จะปรับขึ้นอีก 100 บาท เป็น 230 บาท/คน มาตรการนี้คาดว่าจะเริ่มมีผลใช้ในเดือนเมษายน 2569 และจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ AOT อีก 6.5 พันล้านบาท ในปีงบประมาณ 2569 (เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบปีต่อปี) และจะหนุนรายได้จาก PSC เพิ่มขึ้นอีก 21% ในปี 2570 ซึ่งเป็นปีที่เห็นผลเต็มปี

สำหรับการปรับขึ้น PSC และการบริหารจัดการงบลงทุนอย่างมีวินัย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้กำไรของ AOT กลับสู่ระดับก่อนวิกฤต (ปี 2562) ที่ระดับ 25,000 ล้านบาท ได้ภายในปี 2570 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมที่ 22%  ประเด็นที่สำคัญ การเพิ่มขึ้นของรายได้ด้านการบินจะเข้ามาช่วย กลบแรงกดดันจากรายได้ธุรกิจดิวตี้ฟรีที่หายไปปีละ 6 พันล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จะเปลี่ยนไป โดยเน้นธุรกิจการบินเป็นหลัก

อีกทั้งปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจการบินและไม่ใช่การบิน (Aero : Non-aero) จะกลับมาอยู่ที่ 61:39 ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป จากเดิม 54:46 ในปี 2567

นอกจากนี้ ภายใต้การนำของนางสาวปวีณา ยังได้เพิ่มแหล่งรายได้ใหม่จากบริการเสริม เช่น การจัดเก็บรายได้จากค่าใช้บริการไฟฟ้า 400Hz และ PC-AIR ที่อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 หรือ SAT-1 ซึ่งจะเพิ่มรายได้ 300 ล้านบาทต่อปี และรายได้จาก AOTGA (บริการภาคพื้นและคลังสินค้า) อีกกว่า 500 ล้านบาท

บล.บัวหลวง ระบุว่า แม้จะมีการปรับขึ้นค่า PSC แต่ค่าบริการของไทยยังคงมีความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค โดย PSC ที่ 930 บาท ยังคงต่ำกว่าสนามบินชางงีของสิงคโปร์ (ประมาณ 1,600 บาท) และสนามบินนานาชาติฮ่องกง (ประมาณ 1,400 บาท)

ส่วนกรณีคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) เตรียมพิจารณายกเลิกข้อจำกัดอายุเครื่องบินสำหรับการจดทะเบียนและให้บริการเชิงพาณิชย์ในไทย จากเดิมที่กำหนดอายุเครื่องบินโดยสารไม่เกิน 16 ปี และเครื่องบินขนส่งสินค้าไม่เกิน 22 ปี โดยให้เหตุผลว่าสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตและการซ่อมบำรุงพัฒนาไปมาก ทำให้เครื่องบินสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 30-40 ปี หากดูแลอย่างเหมาะสม ว่า แนวทางใหม่นี้ถือเป็น แรงบวกต่อกลุ่มสายการบินในประเทศ โดยเฉพาะ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI , บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ผู้ให้บริการสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส

เนื่องจากสายการบินจะสามารถยืดอายุการใช้งานฝูงบินเดิมให้นานมากขึ้น ลดภาระต้นทุนในการซื้อ หรือเช่าเครื่องบินใหม่ ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจการบิน

สำหรับข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 พบว่า THAI มีเครื่องบินให้บริการจำนวน 77 ลำ, AAV มีเครื่องบิน 62 ลำ และ BA มีเครื่องบิน 23 ลำ

นอกจากนี้ การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวยังเอื้อต่อการขยายเที่ยวบิน และเพิ่มความถี่เส้นทางในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลเชิงบวกทางอ้อมต่อ AOT ผู้บริหารท่าอากาศยานหลักของประเทศ จากปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า นโยบายดังกล่าวจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อทุกสายการบินในประเทศไทยทั้ง THAI, AAV และ BA

Back to top button