AURA เด้ง 2% รับราคา “ทอง” พุ่ง หนุนกำไร Q3 โต โบรกชูเป้า 21 บาท

AURA บวก 2% รับแรงหนุนราคาทองพุ่ง หนุนยอดซื้อขายคึกคักเนื่องจากได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคา ฟากโบรกมองกำไรไตรมาส 3/68 เติบโตหลังขยายสาขาเพิ่ม ขึ้นค่ากำเหน็จ และธุรกิจขายฝากหนุน พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 21 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (17 ต.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA ณ เวลา 10:20 น. อยู่ที่ระดับ 15.00 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.04% สูงสุดที่ระดับ 15.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 14.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 13.45 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AURA มองบวกต่อทิศทาง ราคาทอง ที่ปรับตัวขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนทั้งฝั่งประชาชนที่มาซื้อและขายทอง โดยฝั่งซื้อทองจะได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคาขายและต้นทุนทองคำที่สูงขึ้น หนุนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ขณะที่ โดยปกติเมื่อราคาทองปรับขึ้น ประชาชนมักนำทองมาขายให้กับ AURA มากขึ้น ซึ่งบริษัทจะรับซื้อทองในราคาที่มีส่วนลด แล้วนำไปขายต่อให้กับเทรดเดอร์ในราคาตลาด หรือเปลี่ยนเป็นต้นทุนทองคำเพื่อขายในอนาคต ทำให้สามารถทำกำไรได้ทั้งฝั่งรับซื้อและขายทองคำ

ดังนั้น ปัจจัยดังกล่าวมีโอกาสช่วยหนุนกำไร ไตรมาส 4/68 ให้ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และอาจทำให้กำไรทั้งปี 68 มี upside จากประมาณการปัจจุบันที่ 1.36 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน

สำหรับไตรมาส 3/68 เบื้องต้นประเมินกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากการขยายสาขา การขึ้นค่ากำเหน็จ และการเติบโตของธุรกิจขายฝาก แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า จากฐานสูง ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท

นอกจากนี้ ความเห็นจาก นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ราคาทองคำเปิดสัปดาห์ด้วยทิศทางบวกอย่างแข็งแกร่ง และในช่วงต้นสัปดาห์ปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ สะท้อนถึงกระแสความต้องการถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ยังคงหนาแน่น โดยมีปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงสนับสนุนขาขึ้น

1.ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่เก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% เป็น 130% จากเดิม 30% และประกาศควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ ซึ่งมีผลวันที่ 1 พ.ย. 2568 ขณะที่จีนได้ทำการตอบโต้ทันที และพร้อมใช้มาตรการสวนกลับ ทำให้ตลาดกังวลว่าสงครามการค้ารอบใหม่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีท่าที   อ่อนลง แต่ตลาดก็ยังคงมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และถือเป็นความเสี่ยง

2.ปัญหาการเมืองในสหรัฐฯ โดยเฉพาะวิกฤต Government Shutdown ที่เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 และยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องงบประมาณ ขณะที่การเลิกจ้างเริ่มเกิดขึ้น ส่งผลให้ตลาดลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะสั้น

3.เฟดลดดอกเบี้ยหนุนราคาทองคำ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดคาดการณ์ในเดือนตุลาคม 2568 มีโอกาสสูงถึง 96% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ส่วนในเดือนธันวาคม 2568 คาดว่ามีโอกาสที่ 87% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญต่อราคาทองคำในขณะนี้

สำหรับกลยุทธ์ระยะสั้นในสัปดาห์นี้ แนะนำหาจังหวะทยอยเข้าซื้อ และหากราคาทองคำย่อตัวลง แต่ยังไม่หลุดโซนแนวรับที่ระดับ $4,090–$4,050 (ราคาทองคำไทยประมาณ 63,000–62,500 บาท) และหากรักษาระดับได้ คาดว่ามีโอกาสที่ราคาจะดีดตัวขึ้นต่อสู่แนวต้านโซน $4,200–$4,250 (ราคาทองคำไทยประมาณ 64,700–65,300 บาท) อย่างไรก็ตามยังคงแนะให้เฝ้าระวังแรงเหวี่ยงของราคาจากข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน หรือการเจรจางบประมาณของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้

Back to top button