DELTAกำไรปีนี้โต10%รุกตลาดอาเซียน-อินเดีย

แผนการเติบโตของบริษัทในปี 2558 ตั้งเป้าว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตประมาณ 10% ซึ่งถ้าเป็นไปตามเป้าบริษัทจะมีกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุด (นิวไฮ) เป็นเวลา4ปีติดต่อกัน


“อนุสรณ์ มุทราอิศ” กรรมการ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2558 จะเน้นการรุกไปยังตลาดใหม่อย่างอาเซียนและอินเดียมากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่มีความต้องการสินค้าค่อนข้างสูง เนื่องจากภาครัฐเริ่มมีการลงทุน โดยสินค้าที่บริษัทจะนำไปเจาะตลาดได้แก่สินค้าในกลุ่มเทเลคอม พาวเวอร์ สินค้าในกลุ่มวินด์เทอร์ไบต์และสินค้าประเภทไฮบริด ซึ่งแม้ว่าบริษัทจะมีการรุกตลาดใหม่มากขึ้นในปี 2558 แต่ก็ไม่ได้ทิ้งตลาดยุโรป ซึ่งเป็นตลาดหลัก และเชื่อว่ายุโรปจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทประมาณ 60% ของรายได้ทั้งหมดเหมือนในปีที่ผ่านมา

สำหรับแผนการเติบโตของบริษัทในปี 2558 ตั้งเป้าว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตประมาณ 10% ซึ่งถ้าเป็นไปตามเป้าบริษัทจะมีกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุด (นิวไฮ) เป็นเวลา4ปีติดต่อกัน ส่วนรายได้ในปี 2558บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้เติบโตประมาณ 10% จากปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โดยบริษัทยังมีแผนที่จะซื้อกิจการ ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการเจรจาบริษัทเพาเวอร์ ซัพพลาย รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ส่วนแหล่งที่มาของเงินลงทุนนั้น จะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทเป็นหลัก สำหรับการกู้ยืมนั้นไม่อยู่ในแผนของบริษัท แม้ว่าบริษัทจะมีอัตราหนี้สินต่อทุน (ดี/อี) ต่ำก็ตาม

 

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดอยู่ในมือประมาณ 17,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าภายหลังจากการจ่ายปันผล บริษัทจะมีเงินสดอยู่ในมือประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท ซึ่งในงวดผลการดำเนินงานปี 2557 คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้นำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิของบริษัทในอัตรา 3 บาทต่อหุ้น และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 9 เมษายน 2558 ซึ่งการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 จะมีขึ้นในวันที่ 30 มีนาคม 2558

อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าบริษัทได้มีการจ่ายปันผลมาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนโยบายของบริษัทจะมีการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ โดยหลักทรัพย์ของบริษัทจัดอยู่ในดัชนี SET High Dividend หรือ SETHD ซึ่งจะคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปี มาจำนวน 30 หลักทรัพย์ จึงเป็นหลักประกันได้ว่าหลักทรัพย์ของบริษัทมีการจ่ายปันผลที่ดี

 

“การเติบโตของบริษัทจะเน้นไปยังตลาดใหม่อย่างอาเซียนและอินเดีย ส่วนตลาดยุโรปก็ไม่ทิ้งเพราะเป็นตลาดหลัก แม้ว่าตลาดยุโรปจะมีสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาในช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ทำให้ยอดขายของบริษัทตก ซึ่งแม้บริษัทจะรุกตลาดอาเซียนและอินเดียมากขึ้น ก็ไม่มีผลทำให้สัดส่วนรายได้จากยุโรปของบริษัทตก ไปจาก 60 % ของรายได้ทั้งหมด ส่วนแผนการซื้อกิจการนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเติบโตของบริษัท ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทเพาเวอร์ ซัพพลายรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก”

 

ส่วนแผนการลงทุนอื่นๆของบริษัท นอกเหนือไปจากการซื้อกิจการนั้น บริษัทยังมีแผนลงทุนอีกประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท เพื่อใช้ในการวิจัยและลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ๆเข้ามาทดแทนของเดิม โดยบริษัทจะให้ความสำคัญกับงานวิจัยมาก เพราะมองว่าถ้าสามารถพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ ในช่วงปีสองปีแรก สินค้านั้นจะมีมาร์จิ้นที่สูงมาก เช่น จอแอลซีดี ตอนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมา มีอัตรากำไรที่สูงถึง 30 % แต่ตอนนี้เหลือไม่ถึง 2% แสดงให้เห็นว่าของใหม่นั้นมีมาร์จิ้นที่ดีและสูง

ทางบริษัทจึงมองการพัฒนาและสร้างสินค้าใหม่ ๆ เป็นแนวทางในการสร้างการเติบโตที่ดีให้แก่ผลกำไรสุทธิของบริษัท ซึ่งมองว่าการที่จะมีกำไรสุทธิที่ดี ก็ต้องมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมา และที่ผ่านมาบริษัทก็ให้ความสำคัญกับผลกำไรสุทธิมากกว่ายอดขายอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์หลายอย่างของบริษัทก็เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และปี 2558บริษัทจะหันมาทำสินค้าไฮบริดในรถยนต์ หลังจากช่วงที่ผ่านมาบริษัทหันไปทำสินค้าไฟฟ้าในถยนต์ ซึ่งเป็นนวัตรกรรมที่สูงเกินไป การลดลงมาบางครั้งก็เป็นทิศทางที่ดี เพื่อให้สอดคล้องกับความจริง

“การเติบโตของบริษัทนั้นส่วนหนึ่งยังจะมาจากการวิจัยและพัฒนา เพื่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพราะเป็นที่รู้กันว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มีอัตรากำไรที่ดีกว่าผลิตภัณฑ์ในไลน์การผลิตเดิมๆ ซึ่งถ้าบริษัทสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เข้ามาตีตลาดได้ ในช่วงปีสองปีแรกของการออกผลิตภัณฑ์จะเป็นช่วงที่กำไรมากที่สุดในสินค้า ดูอย่างแอลซีดีตอนแรกออกมามาร์จิ้นสูงถึง 30% แต่ตอนนี้เหลือไม่ถึง 2%”

 

ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม แม้ที่ผ่านมาบริษัทจะเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์โซลาร์ฟาร์มครบวงจรตั้งแต่งานต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ แต่บริษัทก็ไม่มีความสนใจที่จะเป็นผู้ผลิตพลังงานจากแผงโซลาร์ฟาร์ม เพราะมองว่าต้องมีเรื่องของใบอนุญาต แต่ยอมรับว่าเคยคิดเพื่อที่จะผลิตไฟฟ้าไว้ใช้เอง ซึ่งคงไม่ทำแน่นอน โดยบริษัทมองว่าถ้าภาครัฐเข้ามาเร่งให้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตในการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มชุดเดิม ดำเนินการให้ทันภายในปี 2558 จะทำให้ความต้องการของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานโซลาร์ฟาร์มจะมากกว่ากำลังผลิตที่มี ซึ่งเป็นประโยชน์แก่บริษัท

Back to top button