SUPER ลวงไปฆ่า?

กลายเป็นหุ้นที่ถูกแมงเม่าน้อย-ใหญ่ในแวดวงตลาดทุนก่นด่ามากที่สุดในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา และไม่แน่ว่าจะไปแห่งหนใดหลังจากนี้ อาจถูกโห่ไล่ไปตลอดกาลก็เป็นได้ สำหรับบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

กลายเป็นหุ้นที่ถูกแมงเม่าน้อย-ใหญ่ในแวดวงตลาดทุนก่นด่ามากที่สุดในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา และไม่แน่ว่าจะไปแห่งหนใดหลังจากนี้ อาจถูกโห่ไล่ไปตลอดกาลก็เป็นได้ สำหรับบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER

แน่นอนบริษัทนี้มีการเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่ จากเดิมคือ  “ซุปเปอร์บล๊อก” มาเป็น “ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยีฯ” แต่ดูเหมือนยังคงความเสมอต้นเสมอปลายในแง่ของพฤติกรรมได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ขณะนี้เกิดเสียงสาปแช่งดังขึ้นอย่างระเบ็งเซ็งแซ่ ระคนไปกับเสียงร้องโอดครวญอย่างโหยหวน ปานจะขาดใจอย่างไรก็อย่างนั้น

โดยราคาหุ้น SUPER เปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (1 มิ.ย.) ที่ระดับ 1.48 บาท และปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1.52 บาท ก่อนเริ่มมีการย่อตัวลงมาในช่วงที่เหลือของภาคเช้า แต่ยังถือเป็นการปรับตัวลดลงตามแรงซื้อขายปกติ โดยไม่มีสัญญาณของความหายนะเกิดขึ้นแต่อย่างใด จนกระทั่งการซื้อขายในช่วงภาคบ่ายได้เริ่มขึ้น

หุ้น SUPER เปิดมาซื้อขายในช่วงบ่ายได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ก็เริ่มมีแรงขายซึ่งเป็นคำสั่งขนาดใหญ่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วขึ้นตามลำดับ จนท้ายสุดลงมากองแอ้งแม้งและปิดตลาดแบบ “ฟลอร์สนิท” ที่ระดับ 1.04 บาท ลดลง 0.44 บาท หรือติดลบ 29.73% ด้วยมูลค่า 4.62 พันล้านบาท

ซึ่งแน่นอน “ปรากฏการณ์ล่าโจร” จึงเกิดขึ้นในบัดดล พร้อมกับมีกระแสข่าวจากแหล่งต่าง ๆ พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย

ขณะที่การสำรวจพบว่า ข่าวลือที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีการพุ่งเป้าไปที่การขายหุ้นโดยผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างนายประเดช กิตติอิสรานนท์ และนายจอมทรัพย์ โลจายะ ซึ่งถือเป็น 2 คู่หูต่างวัยที่ร่วมผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาอย่างโชกโชน

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีหลักฐานใดปรากฏเพื่อยืนยันว่ามีการเทขายหุ้นเกิดขึ้นจริง พร้อมกันนี้ตัวนายประเดชเอง รวมถึงที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ซึ่งรับใช้ดูแลทั้งส่วนตัวนายประเดช และบริษัทซุปเปอร์ฯ ก็ได้ออกชี้แจงเบื้องต้นในทันทีทันใด โดยเนื้อหาใจความหลักคือการยืนยันความบริสุทธิ์ว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหายนะครั้งนี้!

เช่นนั้นแล้ว จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องเอาชื่อ “ประเดช” มาเป็นจำเลยในขณะนี้ เพราะคำตอบที่ว่า “ใครขาย” หรือ “ใครทุบ” คงจะเป็นที่ประจักษ์แก่สังคมในอีกไม่ช้า และหากว่าไปแล้ว การขายหุ้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายอะไร แม้เป็นการขายแบบไร้ซึ่งมนุษยธรรม ก็ถือเป็นสิ่งพึงกระทำได้ตามกติกาและเป้าประสงค์ของการมีตลาดหลักทรัพย์ฯ

กระนั้น มีประเด็นและเหตุการณ์น่าสนใจเกิดขึ้นกับหุ้น SUPER ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนของการซื้อขายหุ้น ระหว่าง นายจอมทรัพย์ กับ นายประเดช รวมถึงสตอรี่อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งเรื่องการขยายกำลังการผลิต และการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกหมายมั่นปั้นมือว่าจะสร้างกำไรพิเศษให้กับ SUPER ได้

โดยก่อนหน้านี้ นายจอมทรัพย์เคยประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า มีการตระเตรียมเงินสดไว้ราว 2 พันล้านบาทเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของตัวเองในบริษัทเป็น 20% จากเดิมถืออยู่ราว 10% ขณะที่มีการแพลมข้อมูลออกมาในบางช่วงบางตอนว่าจะเป็นการขอซื้อหุ้นจากนายประเดช

เป็นที่น่าชื่นใจ เพราะหลังจากนั้นนายจอมทรัพย์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็น “คนพูดจริงทำจริง” โดยมีการแจ้งการได้มาซึ่งหุ้น SUPER กับทางก.ล.ต.มาเป็นระยะ จนล่าสุด เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา นายจอมทรัพย์ถือครองหุ้นแล้วกว่า 18% ขณะที่มีการระบุไว้ในบางรายการด้วยว่า เป็นการซื้อหุ้นมาจากนายประเดช ตามที่เคยปูดข้อมูลไว้ให้บรรดาแมงเม่าได้รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจขึ้นมาก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่เป็นไฮไลต์สำคัญของเรื่องนี้ คงอยู่ที่ราคาการซื้อขายบิ๊กล็อตในแต่ละครั้ง เพราะมีลักษณะของการปรับราคาค่างวดขึ้นเป็นแบบขั้นบันได จาก 1.15 บาท เป็น 1.20 บาท (ตามที่มีการเปิดเผยข้อมูล) ซึ่งทั้ง 2 ราคาถือว่าเป็นระดับที่สูงกว่าราคาซื้อขายบนกระดานหลัก ณ ขณะนั้น ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่บรรดานักลงทุนต่างพากันแห่ซื้อตาม จนเกิดการไล่ราคาขึ้นมาจากระดับไม่ถึง 1 บาทในช่วงต้นเดือน เม.ย. มาเป็น 1.52 บาท เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.

เรียกได้ว่าเป็นการซื้อบิ๊กล็อตในราคาเย้ายวนใจให้แมงเม่ากระโดดเข้าตามขบวนก็คงไม่ผิดนัก

ดังนั้น เมื่อนำประเด็นราคาซื้อขายดังกล่าวมารวมกับสตอรี่อื่น ๆ ข้างต้น เป็นที่น่าสนใจว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นเกิดขึ้นในช่วง “วันว.-เวลาน.” และเป็นไปในลักษณะที่ดูจะสอดรับกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนได้รับการวางพล็อตเรื่องมาอย่างดีเยี่ยม ซึ่งก็ส่งผลให้ราคาหุ้น SUPER มีการปรับตัวขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ และอย่างไม่ต้องสงสัย

เช่นนั้น การตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ว่าเป็น “การลวงไปฆ่า” น่าจะถือว่าตรงประเด็น หรือใกล้เคียงความจริงมากที่สุด!

ขณะเดียวกัน เป็นที่น่าจับตาสำหรับการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของ SUPER ในครั้งต่อไปว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นชื่อ “เจนจิรา กิตติอิสรานนท์” และ “กำธร กิตติอิสรานนท์” เพราะไม่แน่ว่า นี่อาจเป็นการปรากฏครั้งสุดท้ายของ 2 ชื่อนี้ก็เป็นได้…

อิ อิ อิ

Back to top button