วนมาที่เดิม

*วานนี้มีการตั้งคำถามการเล่นหุ้นเที่ยวนี้มีอะไรที่เป็นปัญหาสำหรับนักเล่น “มือเก่า” และ “มือใหม่” บ้างไหม? และคำตอบที่เดี๊ยนได้รับจากนักเล่นหลายรายก็หนีไม่พ้นคำว่า ทำไมหุ้นไม่ขึ้นสักที! ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ทำให้รู้ว่า นักเล่นกำลังติดกับดักทางความคิดของตัวเอง และมีการประเมินทิศทางตลาดหุ้นสวยหรูเกินความจริง จึงเกิดอาการทุกข์ระทมขมขื่นทางจิตใจไม่เว้นในแต่ละวันเจ้าค่ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*วานนี้มีการตั้งคำถามการเล่นหุ้นเที่ยวนี้มีอะไรที่เป็นปัญหาสำหรับนักเล่น “มือเก่า” และ “มือใหม่” บ้างไหม? และคำตอบที่เดี๊ยนได้รับจากนักเล่นหลายรายก็หนีไม่พ้นคำว่า ทำไมหุ้นไม่ขึ้นสักที! ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ทำให้รู้ว่า นักเล่นกำลังติดกับดักทางความคิดของตัวเอง และมีการประเมินทิศทางตลาดหุ้นสวยหรูเกินความจริง จึงเกิดอาการทุกข์ระทมขมขื่นทางจิตใจไม่เว้นในแต่ละวันเจ้าค่ะ

*ยิ่งเห็นวงรอบของดัชนีวนไปวนมาอยู่ที่ระดับ 1,600-1,650 จุดเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งทำให้การเล่นเที่ยวนี้ต้องวัดกันที่ความไวเป็นที่ตั้ง และต้องหาจังหวะขายหุ้นออกไปบางส่วนเมื่อกระชากขึ้นแรง “โมนิก้า” ถึงไม่ค่อยดีใจออกนอกหน้าเมื่อเห็นดัชนีพุ่งกระฉูดจากปัจจัยต่างประเทศ เพราะสุดท้ายมันต้องดูจากปัจจัยภายในประเทศแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานกระแสโลกได้จริงอ๊ะป่าว!

*ฉะนั้นถึงต้องมองกันตามจริงว่า การที่ดัชนีวิ่งขึ้นมาปิดที่ 1,636.75 จุด บวกไป 8.37 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.72 หมื่นล้านบาท มันมีอะไรที่แตกต่างจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไหม? เพราะประเด็นสงครามการค้าก็เล่นกันมาเยอะ รวมทั้งประเด็นราคาน้ำมันก็ถูกหยิบขึ้นมาปั่นด้วยเรื่องสงคราม หรือแม้กระทั่งภาวะเศรษฐกิจโลกที่วันนี้เม้าท์กันว่า เดี๋ยวฟื้น..เดี๋ยวไม่ฟื้น มันก็วนลูปอยู่แบบนี้มานานแล้วนะคะ

*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องหันมาดูสุดที่รักอย่างหุ้น EA เพื่อทำให้แฟนคลับได้เข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจไฟฟ้า แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า และเรือไฟฟ้า ล้วนเป็นสตอรี่ที่เกี่ยวโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งพูดอะไรออกไปในตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อ (ตอนทำโซลาร์ก็ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ทุกคนยอมซูฮก) เดี๊ยนเลยขอกระซิบข้างหูคนที่รักกันชอบกันว่า ราคาปิดที่ 48.50 บาท บวกไป 0.75 บาท หรือขึ้นไป 1.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 371 ล้านบาท เหมาะต่อการถือยาวจริง ๆ นะจ๊ะ

*ปิดท้ายกันที่การประชุมบอร์ดของ PTT ในวันนี้ “โมนิก้า” ยังไม่แน่ใจนักว่า วาระสำคัญที่ถูกบรรจุเข้าพิจารณาจะมีเรื่องหวาดเสียว หรือผาดโผนอย่างไรบ้าง แต่ด้วยความรวยเสน่ห์ของสาวโสดหัวใจว้าวุ่นอย่างเดี๊ยน จึงมีหนุ่มวิศวะหลายรายในสังกัด ตั้งแต่เล็กยันใหญ่ ต่างร้อยท่อต่อสายตรงเข้ามาบอกความในใจกันจ้าละหวั่น จนเดี๊ยนชักไม่แน่ใจแล้วล่ะฮ่า ว่าใครบ้างที่ให้ข้อมูลอย่างจริงใจ หรือใครบ้างที่เพียงแค่หาเรื่องโทร.มาเกี้ยวพาราสี…ก็ไม่รู้ซิฮ้า!?

*หลังเคลิบเคลิ้มกับคำพูดหวาน ๆ มาได้ชั่วขณะหนึ่ง “โมนิก้า” ก็เริ่มมีสติอีกครั้ง และเริ่มจับใจความได้ว่า ประเด็นสำคัญในการประชุมบอร์ดวันนี้ มีเรื่องการจ่ายปันผลระหว่างกาลเพื่อให้ทันช่วงเปิดปีงบประมาณใหม่ของรัฐ แต่หวานใจรายนั้นของเดี๊ยนไม่ได้บอกหรอกนะฮ้า ว่าจะจ่ายกันเท่าไหร่ เพราะขืนบอก ก็เข้าข่ายเปิดเผยข้อมูลภายใน ซึ่งเรื่องผิดกฎผิดกติกาพรรค์นี้ เดี๊ยนขอไม่ยุ่งด้วยอย่างแน่นอนนะค้า มันเสียว!!

*อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกบอกผ่านน้ำเสียงทุ้ม ๆ ของยอดชายหวานใจคนโปรด เสมือนเป็นลมเบา ๆ ที่พัดผ่านติ่งหูจนขนลุกวาบอยู่เป็นระยะ คือวาระรับทราบความคืบหน้าการนำ PTTOR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเร็ว ๆ นี้!! โดยมิตรรักแฟนเพลงของ “โมนิก้า” หลายท่าน ก็เฝ้ารอดูความชัดเจนของเรื่องนี้แบบเกาะติดหายใจรดต้นคออยู่เช่นกัน

*สำหรับแผนบันไดเจ็ดขั้นในการนำพา PTTOR ไปให้ถึงฝั่งฝัน เริ่มมาตั้งแต่ช่วงตั้งไข่ในปี 2559 หลังบอร์ดในวันนั้น เห็นชอบเรื่องปรับโครงสร้างของกลุ่มปตท. และได้มีหนังสือส่งไปที่ “พลังงาน” และ “คนร.” จนได้รับอนุมัติและรับทราบจากหน่วยงานทั้งสองในปี 2560 กระทั่งอีก 9 วันให้หลังคือวันที่ 28 เม.ย.ปีเดียวกัน ที่ประชุมผู้ถือหุ้น PTT มีมติไฟเขียว พร้อมรับทราบถึงความเป็นไปได้ในการทำ IPO ในอนาคต เพื่อให้ PTTOR กลายเป็นนิติฯ เอกชนที่มีรัฐถือหุ้นอยู่ด้วยในบางส่วน แต่ไม่เกินครึ่ง!!

*เรื่องราวดำเนินมาจนถึงวันที่ 1 ก.ค. 2561 ซึ่งเป็นวันโอนกิจการ ก็ดำเนินการเสร็จสิ้นลุล่วงไปด้วยดี และปัจจุบันถือเป็นโค้งสุดท้ายก่อนส่งเข้าตลาดหุ้นตามแผน และอีโมคนสวยมองเป็นเรื่องโชคดีของกลุ่มปตท. ที่บอร์ดชุดใหม่เข้ามารับไม้ต่อในเรื่องนี้ มีท่านประธาน “ไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย” มือการเงินระดับปรมาจารย์ ผู้ซึ่งมีความเจนจัดในแวดวงธุรกิจระดับชาติอย่างยาวนานมานั่งหัวโต๊ะ!!

*ว่ากันว่า หัวโต๊ะรายนี้เข้าใจถึงประโยชน์ที่กลุ่ม PTT จะได้รับจากการนำ PTTOR เข้าจดทะเบียนเป็นเอกชนอย่างแน่นอน แถมท่านประธาน “ไกรฤทธิ์” เข้าใจเป็นอย่างดีว่า โครงสร้างที่เป็น “เอกชน” มีความคล่องตัวมากกว่าเป็น “รัฐวิสาหกิจ” โดยผลลัพธ์ที่เกิดจากการเข้าตลาดหุ้นที่เห็นได้ชัดในจังหวะนี้คือ มีการสร้างงานมากกว่า 85,000 ราย และจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 10,000 ราย รวมทั้งจะสร้างธุรกิจ SME ได้ไม่ต่ำกว่า 3,800 ราย และจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 350 ราย..ทุกคนถึงเชื่อว่าท่านประธานจะดำเนินการดันสุดลิ่ม เพื่อให้เข้าตลาดหุ้นเร็วสุดเท่าที่จะทำได้นะคะ

Back to top button