STGT ตีเหล็กยามร้อน

ในรอบปีที่ผ่านมา คงไม่มีหุ้นตัวไหนร้อนแรงงงส์เท่ากับหุ้นถุงมือยาง บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT อีกแล้ว โดยเฉพาะในจังหวะที่โควิดระบาดหนัก ทำให้ยิ่งน่าสนใจ ราคาวิ่งทะลุปรอทแตก แม้บางช่วงราคาจะปรับลดลงมาบ้าง แต่ก็กลับมาได้...


สำนักข่าวรัชดา

ในรอบปีที่ผ่านมา คงไม่มีหุ้นตัวไหนร้อนแรงงงส์เท่ากับหุ้นถุงมือยาง บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT อีกแล้ว โดยเฉพาะในจังหวะที่โควิดระบาดหนัก ทำให้ยิ่งน่าสนใจ ราคาวิ่งทะลุปรอทแตก แม้บางช่วงราคาจะปรับลดลงมาบ้าง แต่ก็กลับมาได้…

แน่นอนด้วยสภาพคล่องของหุ้น STGT และตัวธุรกิจที่แนวโน้มเติบโตสูง จึงถูกดึงเข้าคำนวณใน MSCI ทำให้อยู่ในเรดาร์ของนักลงทุนสถาบันและกองทุนทั่วโลก ขณะที่ในมุมของบริษัทก็ฉกฉวยจังหวะสร้างมูลค่าเพิ่มและความน่าสนใจอีกทาง…

เลยเป็นที่มาของ 3 มติบอร์ดล่าสุด…เริ่มตั้งแต่ไฟเขียวแตกพาร์จาก 1 บาท เป็น 0.50 บาท ซึ่งจะทำให้มีจำนวนหุ้นมากขึ้น จากเดิม 1,434,780,000 หุ้น เพิ่มเป็น 2,857,560,000 หุ้น จะเกิดภาพซื้อง่ายขายคล่อง เย้ายวนให้นักลงทุนเจียดขายหุ้นมากขึ้น

แต่ไฮไลต์จะอยู่ที่ราคาหุ้น…จากก่อนหน้านี้ราคาขึ้นไปเกือบ 100 บาท หลังแตกพาร์ราคาก็จะย่อลงมา การเอื้อมถึงของรายย่อยก็จะมีมากขึ้น ทำให้ไม่ผูกติดกับนักลงทุนรายใหญ่ หรือสถาบันเหมือนในอดีต…

ตามด้วยมติปันผลล่อใจ โดยเคาะจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 1.25 บาท หรือคิดเป็นดิวิเดนด์ยีลด์ที่ 1.66% จากราคาปิดวานนี้ (16 พ.ย.) ที่ 75.00 บาท

เรียกว่าเข้ามาเทรดหม้อข้าวยังไม่ทันดำ…ก็ใจดีแจกปันผลผู้ถือหุ้นซะละ

แหม๊…ใจป้ำแบบนี้ผู้ถือหุ้นคงรักตายเลย…

เท่านั้นไม่พอ…ยังมีกิมมิกจะเข้าตลาดหุ้นสิงคโปร์อีกต่างหาก เพื่อเพิ่มช่องทางในการระดมทุนในอนาคต รวมทั้งเป็นการสร้างชื่อเสียงและทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในระดับภูมิภาค โดยคาดว่ากระบวนการจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2564

ถ้าดูรูปเกมตามนี้ ในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 25 ธ.ค.นี้ ผู้ถือหุ้น STGT น่าจะกดปุ่มไฟเขียวรัว ๆ…

งานนี้ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนใช่ปะคะ..

ก็ถือเป็นความพลิ้วและอาศัยการฉกฉวยจังหวะของผู้บริหาร STGT ที่เห็นหุ้นกำลังดี เลยสร้างสตอรี่ให้น่าสนใจมากขึ้นไปอีก

หลังโชว์งบไตรมาส 3/2563 โตระเบิดระเบ้อทั้งรายได้และกำไร โดยฟาดกำไรไป 4,401.9 ล้านบาท เติบโต 4,113.6% จากเดิมเคยทำได้ 104.5 ล้านบาท และมีรายได้อยู่ที่ 8,142.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 169.9% จากเดิมทำได้ 3,016.3 ล้านบาท

ปัจจัยหลักมาจากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่เติบโตก้าวกระโดดอยู่ที่ 1,140 บาทต่อพันชิ้น (USD 36.3) เนื่องจากความต้องการใช้ถุงมือยางที่ยังเติบโตอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิดในหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ถุงมือยางเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน และจำเป็นกับการใช้งานในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลกนั่นเอง

ส่งผลให้ 9 เดือนแรก STGT ตุนกำไรไว้แล้ว 5,880.58 ล้านบาท จากเดิมทำได้แค่ 453.25 ล้านบาทเท่านั้น

สมกับการรอคอยของนักลงทุนจริง ๆ…

ยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิดสุกงอมแบบนี้ STGT ก็น่าจะขานรับสถานการณ์โควิดมากขึ้นอีก…ไอ้ที่เห็นตัวเลขเติบโตดีอยู่แล้ว ก็จะเติบโตมากยิ่งขึ้น

แต่ในทางกลับกัน…ถ้าวัคซีนโควิดสำเร็จเมื่อไหร่…? STGT ก็จะลดความน่าสนใจลงเหมือนกัน

เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่ ๆ อยู่ที่ว่าจะเกิดเมื่อไหร่..? เท่านั้นเอง…

…อิ อิ อิ…

Back to top button