เหมาเข่ง VS สุดซอย

เดี๋ยวนี้ ชักจะดูตัวเลขจำนวนการฉีดวัคซีนยากขึ้นทุกทีเพราะยอดรวมอัตราการฉีดในแต่ละวัน ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.เขาเอายอดรวมเข็มที่ 3 เป็นไฟเซอร์ที่รับบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาด้วย


เดี๋ยวนี้ ชักจะดูตัวเลขจำนวนการฉีดวัคซีนยากขึ้นทุกทีเพราะยอดรวมอัตราการฉีดในแต่ละวัน ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.เขาเอายอดรวมเข็มที่ 3 เป็นไฟเซอร์ที่รับบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาด้วย

อย่างเช่น ตัวเลขการฉีด ณ วันพุธที่ 11 ส.ค.ที่แถลงอย่างเป็นทางการคือ 570,865 โดสน่ะ เป็นการนับรวมเข็มที่ 3 จำนวน 69,577 โดสเข้าไปด้วย ตัวเลขรวมการฉีดเข็มที่ 1 และ 2 มีเพียง 501,288 โดสเท่านั้น

หากยังคงแถลงตัวเลขแบบตีขลุมเช่นนี้ จะทำให้มองเป้าหมาย “120 วันเปิดประเทศ” ของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผิดเพี้ยนไปได้

เพราะในประการแรก นายกฯ ประกาศวันที่ 16 มิ.ย. ก็ต้องไปเริ่มต้นนับวันแรกเอาในวันที่ 17 มิ.ย. ครบกำหนด 120 วัน ก็ต้องเป็นวันที่ 15 ต.ค.

และในประการต่อมา เป้าหมายการฉีด 100 ล้านโดสนั้น หมายรวมแค่การฉีดเข็มที่ 1 และ 2 เท่านั้น (ยังไม่มีวัคซีนลาภลอย mRNA-ไฟเซอร์มา) และหากจะดูเป้าหมายการครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 หรือ 50 ล้านคน ก็ต้องนับที่จำนวนการฉีดเข็มที่ 1 เท่านั้น (วัดคนไม่ใช่วัดโดส)

นับจากยอดการฉีดล่าสุดที่ 11 ส.ค.ก็เหลือเวลาอีก 65 วันเท่านั้น สั้นจุ๊ดจู๋เข้ามาทุกที  เป้าหมาย 120 วันเปิดประเทศ” ของนายกฯ คงไปไม่ถึงฝันแน่!

อัตรารวมการฉีดสะสมเข็มที่ 1 และ 2 อยู่ที่ 21,894,796 โดส ยังขาดอยู่ถึง 78,105,204 โดส จึงจะถึงเป้า 100 ล้านโดส กับเวลาที่เหลืออยู่อีก 65 วัน ก็เท่ากับจะต้องฉีดวัคซีนโดยเฉลี่ยถึงวันละ 1,201,618.52 โดส

อัตราการฉีดล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค.จำนวน 501,288 โดส ยังห่างไกลเป้าหมายอยู่อีกมาก

ส่วนเป้าหมายจำนวนคนรับวัคซีนร้อยละ 70 หรือ 50 ล้านคนนั้น วัดจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ยังแค่ 17,068,105 คนเอง คิดเป็นร้อยละ 25.78 ของประชากรเอง

มันจะไปถึงเป้าหมาย 50 ล้านคนได้อย่างไรกัน!

ทั้งนายกฯ และทีมกุนซือนายกฯ ก็ลองคิดอ่านกันดู จะหาทาง “ออกตัว” เรื่อง 120 วันเปิดประเทศไม่ได้” อย่างไรดี จะ “ขอโทษ” ก็ดูไม่ใช่วิสัย หรือจะอ้าง “เหตุจำเป็น” อันใดให้มันเข้าท่า

รัฐบาลนี้ ดูจะชอบ “Scold Drive” หรือ “การขับเคลื่อนด้วยแรงดุด่า” เสียจริง ๆ กลายเป็นว่า อยากจะให้รัฐบาลทำอะไร ไม่สามารถจะขอกันดี ๆ ได้ ต้องโขกต้องสับกัน รัฐบาลถึงจะทำให้

แม้แต่เรื่อง การแจกวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ แทนที่จะแจกจ่ายไปตามโควตาที่แต่ละโรงพยาบาลขอมา ก็ดันจ่ายแบบมีกั๊กเอาไว้ 40-50% ต้องออกแรงก่นด่าหรือประจานออกสื่อกัน ไฟเซอร์ถึงจะมาเต็มร้อย

โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย! ต้องด่า งานถึงเดิน แถมยังจะออกกฎหมาย “ห้ามด่า” ปิดปากสื่อเสียอีก

กฎหมายนี้ มุ่งการควบคุมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งไม่เพียงแต่การควบคุม “ข่าวปลอม” หรือที่เรียกว่า “เฟค นิวส์” เท่านั้น หากยังจะให้ครอบคลุมไปถึง ข่าวอันเป็นการสร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชนเสียด้วย

องค์กรสื่อ 6 องค์กร ซึ่งค่อนข้างจะประนีประนอมกับรัฐบาลมาตลอด ยังต้องออกแถลงการณ์ให้รัฐบาลทบทวน และสื่อเว็บไซต์รวมทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชน ได้ขออำนาจศาลคุ้มครองชั่วคราว ในที่สุดศาลก็ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว

รัฐบาลต้องถอย ยอมยกเลิก พ.ร.ก.ปิดปากสื่อ ปิดปากประชาชน (บางส่วน)

รัฐบาลถูกวิจารณ์มากว่า “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” ตั้งแต่แทงม้าตัวเดียวแล้วไม่มาตามนัด วัคซีนรองที่เลือกใช้ก็เป็นวัคซีนด้อยคุณภาพ ชาวบ้านวิจารณ์รวมทั้งคำแนะนำของผู้บริหารแอสตราเซเนกาให้เข้าร่วม “โคแวกซ์” ก็หานำพาไม่

สถานการณ์โควิดประเทศไทยที่บานปลายมีผู้ป่วยวันละกว่า 2 หมื่นคน ผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 7,000 คน ในวันนี้ และเศรษฐกิจฐานรากของคนตัวเล็กในประเทศพังพินาศย่อยยับ มันพอจะมีมูลให้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเอาได้

จึงคิดจะออกพระราชกำหนดหรือ พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดของบุคลากรสาธารณสุขขึ้นมา นี่ก็คงไม่ต่างอะไรกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือคำสั่ง ปว.นิรโทษกรรมให้แก่ทหารที่ทำรัฐประหาร อย่างไรอย่างนั้น

ถามว่ามันเข้าข่าย “จำเป็นเร่งด่วน หรือป้องกันภัยพิบัติอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้” ซึ่งเข้าข่ายหลักเกณฑ์การออก พ.ร.ก.หรือเปล่าก็ไม่ใช่

งานนี้ออกมากล่าวคำ “ขอโทษ” หรือ “เสียใจ” ซะดี ๆ แล้วมุ่งแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด ยังจะดีเสียกว่า

Back to top button