NER-JR-JTS ครึ่งปีแรกกำไรกระฉูด!

NER, JR และ JTS ประกาศงบช่วงไตรมาส 2/64 และงวด 6 เดือนแรกออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลปรากฏว่าสามารถโชว์กำไรสุทธิโตก้าวกระโดด


เส้นทางนักลงทุน

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ทยอยประกาศงบการเงินในช่วงไตรมาส 2/2564 และงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ออกมาต่อเนื่อง ซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 17 ส.ค.2564

ล่าสุดมีทาง บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER และ บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR และบริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS ประกาศงบออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลปรากฏว่าสามารถโชว์กำไรสุทธิโตก้าวกระโดด

สำหรับตัวของ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6,297.28 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,768.61 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 438.84 ล้านบาท หรือ 0.283 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 224.89 ล้านบาท หรือ 0.146 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้น 95.14%

โดยสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ โดยรายได้จากการขายเป็นผลมาจากปริมาณคำสั่งซื้อลูกค้าในประเทศและการส่งมอบจากกลุ่มลูกค้าโรงงานผลิตยางรถยนต์จีนที่ยังคงสูงอยู่ โดยจะเห็นจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ยางแท่ง STR ที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่ง แห่งที่ 2 ส่งผลให้มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยในไตรมาส 2/2564 สูงกว่าไตรมาส 2/2563 เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 11,281.25 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 5,656.61 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 805.34 ล้านบาท หรือ 0.520 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 284.79 ล้านบาท หรือ 0.185 บาทต่อหุ้น เป็นผลจากการขยายกำลังการผลิตในส่วนโรงงานยางแท่งแห่งที่ 2 และปริมาณคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้น 182.78%

พร้อมทั้งทางมติคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 อนุมัติการจ่ายเงินปันระหว่างกาลงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายปันผล 0.07 บาทต่อหุ้น วันที่จ่ายปันผล 6 กันยายน 2564 รวมเป็นเงิน 115.17 ล้านบาท คิดเป็น 15.05% ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองตามกฎหมายตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท สำหรับวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 23 สิงหาคม 2564 วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 24 สิงหาคม 2564

ส่วนภาพรวมธุรกิจปี 2564 ทางบริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.45 หมื่นล้านบาท และปริมาณขายที่ 4.4 แสนตัน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ที่สามารถรองรับยอดขาย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าจากสิงคโปร์และอินเดีย ประกอบกับราคายางปรับขึ้นต่อเนื่อง และได้ลูกค้าใหม่เพิ่มหลายราย

นอกจากนี้ ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น ด้านเครื่องจักรผลิตแผ่นยางปูรองนอนสัตว์ บริษัทคาดว่าจะนำเข้ามาติดตั้งในช่วงปลายปี 2564 ซึ่งบริษัทคาดจะรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ในปี 2565 ที่ 2.8% ของประมาณการ ซึ่งบริษัทจะสามารถขยายตลาดและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

เช่นเดียวกับ บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 648.25 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 265.63 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 69.57 ล้านบาท หรือ 0.09 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 19.43 ล้านบาท หรือ 0.03 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้น 258.05%

โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะบริษัทมีงานรอรับรู้รายได้ (Backlog) ปัจจุบันอยู่ที่ 5,320.8 ล้านบาท ทยอยรับรู้ในระยะยาว 3 ปี โดยจะเป็นการรับรู้รายได้จากธุรกิจรับเหมาวางระบบ เช่น งานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยี ธุรกิจการให้บริการซ่อมบำรุงรักษา และธุรกิจการจำหน่ายอุปกรณ์

ส่วนผลการดำเนินงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีรายได้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,163.58 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 464.78 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 124.38 ล้านบาท หรือ 0.16 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 29.93 ล้านบาท หรือ 0.07 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้น 315.57%

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ ซึ่งโครงการต่าง ๆ ยังคงเดินหน้าแม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 เมื่อมีการปิดแคมป์คนงานในบางโครงการเกิดขึ้น บริษัทยังมีความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเน้นการทำงานในส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติม ขณะเดียวกันบริษัทมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ดี และทำธุรกิจด้วยกระแสเงินสด ทำให้ยังสามารถรักษาการเติบโตรายได้และกำไรในระดับสูงต่อเนื่อง

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่ที่จะออกมาทั้งงานวางระบบไฟฟ้า และระบบสื่อสาร โดยคาดว่าจะมีการยื่นประมูลประมาณ 400 ล้านบาท ขณะที่การประมูลงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู เฟส 2 มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีการประมูลเกิดขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า ก็จะส่งผลให้ปริมาณงานในมือของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น และสร้างรายได้ในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน บริษัทได้มีการขยายงานด้านวิศวกรรมไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อสร้างฐานรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น เช่น การเข้าไปในกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดยเป็นงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยให้กับโครงการของบริษัท ไทยออยล์ ซึ่งบริษัทรับงานจากกิจการร่วมค้า Petrofac South East Asia, Saipem Singapore และ Samsung Engineering โดยมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมั่นคงในอนาคต

เหมือนกับ บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 648.28 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 265.63 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 69.57 ล้านบาท หรือ 0.09 บาท จากงวดเดียวกันของปีกก่อนมีกำไรสุทธิ 19.43 ล้านบาท หรือ 0.03 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้น 258.05%

โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมค้าของโรงไฟฟ้า HPC ที่เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานโดยรวม หลังจากการซื้อหุ้นบริษัท JASTEL และจากการอ่อนค่าของเงินสกุลบาทต่อเงินสกุลเหรียญสหรัฐ

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีรายได้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,163.58 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 464.78 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 124.38 ล้านบาท หรือ 0.16 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 29.93 ล้านบาท หรือ 0.07 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้น 315.57%

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกจากการรับรู้รายได้ในตัวของการนำงบการเงินของ JASTEL เข้ามาเต็มในช่วงไตรมาส 2/2564

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มแผนธุรกิจบริษัท จะลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์ โดยมีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 156.7 ล้านบาท โดยได้ทยอยสั่งซื้อเครื่องขุดบิตคอยน์ และจะติดตั้งให้แล้วเสร็จจำนวน 500 เครื่องภายในไตรมาส 3/2564 ซึ่งทางบริษัทได้ศึกษาเรื่อง Bitcoin มาระยะหนึ่งแล้ว มองว่าขณะนี้เป็นจังหวะและโอกาสที่ดี บิตคอยน์ที่ขุดได้จะนำมาจำหน่ายบางส่วน และเก็บไว้บางส่วน โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง

บริษัทยังเตรียมพร้อมขยายเฟสที่ 2 เพื่อเสริมกำลังการขุดอีก 5,000 เครื่องในต้นปี 2565 เล็งใช้พื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมด้วยความพร้อมของสถานที่และโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า โดยตั้งเป้าขยายกำลังการขุดเป็น 50,000 เครื่อง ก่อน Bitcoin Next Halving คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2567 ทำให้บริษัทมีกำลังการขุดรวมมากกว่า 5 Exahash/s หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของกำลังการขุดรวมทั่วโลก และเป็นศูนย์กลางของ Bitcoin Mining Farm ที่ใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia

ส่วนประเด็นด้านผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมนั้น การขุดบิตคอยน์ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด พลังงานหลักที่ใช้ในการขุดบิตคอยน์คือพลังงานไฟฟ้า ซึ่งบริษัทใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากหน่วยงานของรัฐ ที่ได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน ISO 14001 โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาในการนำพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานจากโซลาร์เซลล์ และพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติมาใช้ทดแทน ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนและรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยพร้อมกัน

ทั้งนี้ บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) จะเป็นชื่อบริษัทใหม่ที่จะมาแทนชื่อเดิม บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจขององค์กรในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทได้เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทไปแล้วเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมเข้าที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ตุลาคม 2564

นี่เป็นส่วนหนึ่งในการหยิบยกหุ้นที่ประกาศผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/2564 และงวด 6 เดือนที่มีกำไรโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

Back to top button