พาราสาวะถี

อภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน ทำเอาท่านผู้นำไม่ได้นอนทั้งคืนหลังเกิดกระแสข่าวโหวตคว่ำในการลงมติไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นในวันเสาร์นี้


ทำเอากินไม่ได้นอนไม่หลับ ถึงกับภูมิแพ้กำเริบสูดน้ำมูกตลอดเวลาในระหว่างการชี้แจงตอบข้ออภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน สำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ จนถูกฝ่ายค้านทักท้วงว่าเจ้าหน้าที่ที่ดูแลปล่อยให้คนเป็นหวัดเข้ามาแพร่เชื้อได้อย่างไร กรณีนี้ผู้สื่อข่าวไปเจาะข่าวมาก็พบว่าท่านผู้นำไม่ได้นอนทั้งคืนหลังเกิดกระแสข่าวโหวตคว่ำในการลงมติไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นในวันเสาร์นี้ ภาวะเลื่อยขาเก้าอี้ท่านผู้นำไม่ใช่ข่าวโคมลอย เพราะมีการสั่งทีมงานเกาะติดเสียงสนับสนุนแบบนาทีต่อนาทีกันเลยทีเดียว

การปรากฏข่าวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเซ็นคำสั่งปลด ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำให้เพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือต่อกระแสความขัดแย้งเข้าไปอีก ยิ่งเจ้าตัวไม่ปฏิเสธและยังไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจต่อการให้ข่าวถูกท่านผู้นำจากตำแหน่งที่มาจากปากของ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ยิ่งทำให้หลายคนเชื่อว่าน่าจะมีมูล ส่วนเหตุผลที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมหนักหน่วงเช่นนี้ก็เป็นเรื่องทางการเมืองล้วน ๆ

ย้ำอีกครั้งว่าความป็อบปูล่าร์ของธรรมนัสที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเขม่นนั้น มันมีมาตั้งแต่คราวซักฟอกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาแล้ว หลังจากที่เสร็จสิ้นการลงคะแนนไว้วางใจที่ตัวเองได้เสียงจากส.ส. 272 เสียง ขณะที่ธรรมนัสได้ 274 เสียง โดยหลังการปิดประชุมครั้งนั้น ท่านผู้นำได้กล่าวทีเล่นทีจริงกับบรรดารัฐมนตรีหลายรายหลังลงมาจากบัลลังก์ว่า “ถ้าธรรมนัสได้คะแนนมากขนาดนี้มาเป็นนายกฯดีกว่าไหม” ซึ่งหากจะมองว่าเป็นการแหย่ก็ไม่น่าจะมีการพูดย้ำอยู่หลายครั้ง

แม้กระทั่งตอนที่ธรรมนัสเดินเข้ามาร่วมวงแล้ว ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ยังไม่วายแขวะต่อว่า “ถ้าคะแนนเยอะขนาดนี้มาเป็นนายกรัฐมนตรีดีกว่า” ก่อนที่จะกลบเกลื่อนด้วยการบอกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ว่า “คะแนนใครจะมากจะน้อยอย่าไปอะไรมากเดินหน้าทำงานต่อไป” อย่างที่บอกว่าปากไม่ตรงกับใจ ใครจะยอมให้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตัวเองมาเด่นเกินหน้า ขณะที่อีกมุมก็ถูกมองว่ามีการแสดงบารมีทางการเมืองกันมากขึ้น

จะว่าไปมันก็คือความแตกต่างในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะเอาใจบรรดาขาใหญ่ทางธุรกิจและพวกเทคโนแครตเพื่อให้อุ้มสมตัวเองอยู่ในตำแหน่งให้นานที่สุด โดยไม่สนใจให้ค่ากับบรรดา ส.ส.ทั้งหลายในสภา ส่วนอีกรายต่อสายสร้างสัมพันธ์มีคอนเนคชันกับทุกพวก ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนในฝ่ายค้าน เหมือนที่เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้า บารมีมันเกิดจากคอนเนคชันที่เรามี ความที่เรารู้จักคนเยอะทำให้เรามีคอนเนคชัน เวลามีปัญหาเราติดต่อแก้ปัญหาให้คนได้ ไม่ใช่มาเฟียที่รังแกชาวบ้าน เราช่วยคนมากกว่า

ต่างกันอีกฝ่ายที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่เลือกที่จะช่วยแค่บางพวกอุ้มสมแค่บางฝ่าย ใจไม่กว้างพอ ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้เกิดความไม่พอใจกับบรรดา ส.ส.ที่ต้องการเอาใส่ใจเป็นพิเศษโดยเฉพาะกับพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายรัฐบาล ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ จึงเป็นผลดีที่ทำให้เกิดการเรียกผลตอบแทนกับ 1 คะแนนที่จะโหวตไปทางไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ รอยปริแยกที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่แค่กระแสข่าวแต่บทสัมภาษณ์ของสองคนคู่กรณีมันเป็นตัวตอกย้ำชัดเจน

ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเดิมทีหลังเดินทางถึงรัฐสภาในการซักฟอกวันที่สาม ตั้งท่าว่าจะปักหลักให้สัมภาษณ์ดิบดี แต่ไม่รู้นึกอะไรขึ้นได้ รีบเลี่ยงเดินขึ้นลิฟต์หนีนักข่าวไปเสียดื้อ ๆ แต่ก็มีสิ่งที่ตอบคำถามให้เป็นปริศนาต่อเสียงโหวตที่จะเกิดขึ้น ”ก็ขึ้นอยู่กับส.ส.เขา” ขณะที่ธรรมนัสให้สัมภาษณ์ในเรื่องเดียวกัน “ทุกอย่างอยู่ที่เอกสิทธิ์ เพราะเป็นสิทธิของส.ส.แต่ละคนว่าจะตัดสินใจในเรื่องเสียงในสภาอย่างไร เราไปครอบงำเขาไม่ได้”

ผิดกับช่วงฮันนีมูนหลังตั้งรัฐบาลหมาด ๆ หากถามในประเด็นเช่นนี้ คำตอบที่ได้จากคนของพรรคสืบทอดอำนาจ จะออกไปในทิศทางเดียวกันคือทุกเสียงต้องโหวตไว้วางใจทั้งนายกฯ และรัฐมนตรี เพราะถือว่าเป็นรัฐบาลร่วมกัน ไม่เพียงเท่านั้น หากได้ติดตามการซักฟอกในช่วง 3 วันที่ผ่านมาเป็นที่น่าสังเกตว่า ในการอภิปรายของฝ่ายค้านที่ซัดผู้นำเผด็จการในเรื่องต่าง ๆ อย่างดุเดือดนั้น ไม่มีองครักษ์คอยมาประท้วงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา มีเพียง ไพบูลย์ นิติตะวัน ที่ทำหน้าที่นี้เพียงลำพัง

มันไม่ใช่แค่เรื่องของความไม่พอใจที่มีต่อตัวบุคคลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เรื่องของการเอาใจคนเพียงหยิบมือ โดยไม่แยแสคนส่วนใหญ่ของพรรคก็เป็นสิ่งที่เก็บกดอยู่ในใจของ ส.ส.จำนวนไม่น้อยของพรรคสืบทอดอำนาจ โดยจะเห็นได้ว่าโควตารัฐมนตรีจำนวนไม่น้อยถูกยกให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปบริหารจัดการเอง แต่การลงทุนเลี้ยงดูปูเสื่อเพื่อที่จะค้ำยันเก้าอี้ให้นั้นเป็นเรื่องของคนที่มีคอนเนคชั่นและต้องรับภาระหลังอาน

ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เด็กในคาถาของพี่ใหญ่ต้องลุกขึ้นมาสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและแสดงบารมีให้บรรดา ส.ส.ที่ดูแลได้เห็นคือการปรับ ครม.รอบที่ผ่านมา ซึ่งปรากฎว่าฝ่ายที่ทุ่มทุนสร้างเพื่อปกป้องผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่มีใครได้รับการเหลียวแลแม้แต่คนเดียว ที่หวังจะได้ขึ้นเก้าอี้ใหญ่ก็ไม่เป็นไปตามที่คุยกันไว้ ส่วนที่รับปากว่าจะเยียวยากันด้วยสิ่งอื่นตอบแทนก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งหมดจึงได้เวลามาระเบิดเอาในช่วงซักฟอกหนนี้

ต้องจับตากันตลอดทั้งวันนี้และต่อเนื่องไปจนถึงค่ำคืนนี้ก่อนที่จะมีการโหวต หากยังคงมีกระแสข่าวด้านลบออกมาต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า ทุกอย่างยังไม่นิ่งหรือมีการปั่นราคากันจนวินาทีสุดท้าย สิ่งที่ วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทยแฉกลางที่ประชุมว่า ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเรียก 7 ส.ส.พรรคสืบทอดอำนาจเข้าพบแจกเงินคนละ 5 ล้านบาทนั้น อาจดูเหมือนเป็นการดิสเครดิตทำลายความน่าเชื่อถือของท่านผู้นำท่ามกลางกระแสข่าวลือ

แน่นอนว่า คงไม่มีใครกล้าและบ้าบิ่นพอที่จะไปแจกเงินกันโต้ง ๆ ในสภาขนาดนั้น แต่ใช่ว่ากรณีนี้จะไม่มีอะไรในกอไผ่ นักการเมืองที่คร่ำหวอดในวงการอย่างวิสารคงไม่ใช่พูดลอย ๆ เพื่อให้ตัวเองถูกฟ้องเป็นแน่ แต่เชื่อได้ว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคงตอบโต้และขู่ที่จะใช้กฎหมายเล่นงานอยู่แล้ว นี่แหละการเมืองที่ไม่ใช่เรื่องง่าย ขนาดที่ว่าล็อกทุกอย่างไว้แล้ว กระบวนการตรวจสอบทั้งหลายก็กลายเป็นเบี้ยล่าง ยังมีปัญหาหนักอกถึงขนาดไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว

Back to top button