มนต์นางกวักแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

หนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มทุนทุกปีไม่เคยขาดในรอบ 4 ปีนี้ หลังจากที่กลับเข้ามาเทรดรอบใหม่ในชื่อใหม่ (ที่เปลี่ยนไป 2 ครั้งแล้ว) จนนักลงทุนได้ยินซ้ำซากคือ บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA


หนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มทุนทุกปีไม่เคยขาดในรอบ 4 ปีนี้ หลังจากที่กลับเข้ามาเทรดรอบใหม่ในชื่อใหม่ (ที่เปลี่ยนไป 2 ครั้งแล้ว) จนนักลงทุนได้ยินซ้ำซากคือ บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA

ปีนี้แม้จะไม่ได้เพิ่มทุนอีก แต่หุ้นที่ขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพิ่มทุนล่วงหน้า 4 พันล้านหุ้น ก็ยังมีให้ขายมาเรื่อยๆ ถึง 3 รอบแล้ว

ขายแบบพีพี หรือแบบเฉพาะเจาะจง ให้กับพันธมิตร ตามสูตร “ใช้เงินคนอื่น” หรือ OPM มาขยายกิจการ ไม่ต้องใช้เงินให้มากมายอะไรเพราะคนในตระกูลเทพเจริญนำโดย สามี วิษณุ เทพเจริญ และเจ๊หมวย ศิริญา เทพเจริญ นั้น เน้นทำธุรกิจสร้างความมั่งคั่งแบบ “คู่ขนาน” มาโดยตลอด คือ ธุรกิจส่วนตัว และธุรกิจบริษัทมหาชน ที่ตนเองและครอบคัวถือหุ้นใหญ่ ปนเปกัน

วุ่นวายถึงขนาดนักลงทุนงง และปีนี้ ก.ล.ต. ต้องเรียกให้ชี้แจงถึงความคืบหน้าของการดำเนินการขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ กลุ่มณุศาศิริ  เพื่อให้ชัดเจนว่า ธุรกิจไหนส่วนตั๊ว…ส่วนตัว ธุรกิจไหนมหาชน ก่อนจะสับสนกันใหญ่

หลังกลับมาเทรดด้วยกลยุทธ์ “ประตูหลัง” จากการซื้อซากของไทยเกรียงสิ่งทอ (TDT) ในปี 2554 ด้วยโหราฤกษ์ วันที่ 9 เดือน 9  ในชื่อบริษัท อั่งเปา จำกัด (มหาชน) หรือ PAO จากนั้นผู้ถือหุ้นใหญ่ ตระกูลเทพเจริญ ที่เดิมทำอสังหาริมทรัพย์คือ ณุศาศิริกรุ๊ป ก็เตาะแตะสร้างกิจการใหม่ เอาเนื้อเต่าใส่ในกระดองบางส่วน แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น NUSA หรือ ณุศาศิริ อันเป็นชื่อดั้งเดิม

ระหว่างนั้น ก็ทำโครงการอสังหาริมทรัพย์กันประปรายตรงโน้นตรงนี้ โดยมีราคาหุ้นหวือหวาแค่ครั้งคราว แต่ที่ทุกปีไม่เคยมีเว้นเพิ่มทุน จากทุนเริ่ม ปี 2555 ที่ระดับ 2,273.58 ล้านบาท เป็น 2,623,57 ล้านบาทในปี 2556 แล้วก็ 4,046.72 ล้านบาทในปี 2557 แล้วปีนี้ครึ่งแรก ก็ 4,446.72 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่หยุดชนิด “ถมไม่เคยเต็ม” ทั้งที่ 5 ปีนี้ มีกำไรตลอดแม้ไม่มาก ยกเว้นปี 2556 ที่ขาดทุนคั่นแค่ปีเดียว

เสมือนหนึ่งนักลงทุนในตลาดพกตู้ ATM ติดตัว คิดจะกดเมื่อไหร่ก็… “รูดปื๊ดๆๆๆ”…ตามใจชอบ

เหตุผลหลักที่อ้างคือ “บริษัทมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียน และเงินลงทุนในโครงการ” อย่างสูตรสำเร็จ ทั้งที่ว่าไปแล้วตรวจสอบดูส่วนผู้ถือหุ้นก็ไม่ได้ร่อยหรอ เพราะยังพอมีกำไรเล็กๆ น้อยๆ แถมสภาพคล่องก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไร current ratio ล่าสุดก็มากกว่า 2.51 เท่า แถม ดี/อีก็ต่ำกว่า 1 เท่า

ที่สำคัญ ยังไม่มีโครงการใหญ่โตที่เคยฟุ้งว่าจะมากเป็น หมื่นล้าน ออกมาให้เห็นจริงจัง

แต่ก็เอาเถอะ..ไม่ว่าเหตุผลจะเข้าท่าหรือไม่ หุ้น NUSA ก็ยังมีพันธมิตรมาซื้อกันเรื่อยๆ เรียกว่า สามีภรรยาคู่นี้มี “มนต์นางกวัก” เรียกลูกค้าได้ชะงัด

ปีที่แล้วมีพันธมิตร อดีตดาราใหญ่ พี่แซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี หอบเงินเข้ามาซื้อหุ้นไป 75 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 บาท ในขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ระดับ 0.85 บาท ให้ฮือฮาเล่น แต่เมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเหนือ 1.20 บาทตอนปลายปี เรื่องก็เงียบๆกันไป ถือว่าเจ๊ากัน

ปีนี้ แม้ราคาหุ้นเฉลี่ยทั้งตลาดไม่ดี แต่ราคาหุ้น NUSA กลับไม่เลวตามตลาด เคยร่วงราคาต่ำสุดแค่ 0.75 บาทแค่ช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นก็เด้งกลับมายืนเหนือ 1 บาทได้ เพราะกำไรครึ่งแรกของปีโดดเด่น ครึ่งปี เสกเป่ากำไรสุทธิไป 57.73 ล้านบาทจากรายได้แค่ 545.86 ล้านบาท เทียบกับตลอดปีก่อน กำไรสุทธิ 57.42 ล้านบาท จากรายได้ 1,271.58 ล้านบาท

จุดนี้ ทำให้ราคาหุ้นโดดเด่นและเป็นจังหวะขายหุ้นแบบพีพี 3 ครั้งรวด ในระยะเวลาห่างกันไม่มาก แถมขายได้ราคาเสียด้วย เพราะคำนวณราคาขายแบบแฟร์ที่ราคา “ไม่ต่ำกว่า 90% ของ 7 วันทำการหารเฉลี่ย ท้ายสุดลงเอยที่ 1 บาท สำหรับ 2 งวดแรก โดยงวดแรก ขายได้ 600 ล้านหุ้น ให้กับบุคคล 2 คนและนิติบุคคล 1 ราย  ส่วนงวดที่ 2 ขายได้มากขึ้นถึง 700 ล้านหุ้นให้กับ 2 บุคคล  เป็นราคาขายต่ำกว่าบุ๊คแวลู แต่เท่ากับตลาด ถือว่าคนซื้อได้เปรียบ

งวดที่สามนี่สิสุดยอดทั้งราคา และคนซื้อ แม้จะขายได้ไม่มากเท่าเดิม

ราคาเฉลี่ยของหุ้น NUSA ในยามที่ดัชนีตลาดร่อแร่ อยู่ที่ 1.10 บาท ทำให้ขายไปที่ 1.10 บาท เท่ากับตลาด และเท่ากับบุ๊คพอดี ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกัน แต่ชื่อคนซื้อนี่สิ มีเซอร์ไพรส์..เฉลิมชัย มหากิจศิริ ซื้อไป 100 ล้านหุ้น และบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนซี่ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ซื้อไปอีก 200 ล้านหุ้น 

คนอย่างตระกูลมหากิจศิรินั้น  “มหาหิน” แค่ไหน ในการทำดีลธุรกิจ เป็นที่เลื่องลือมายาวนาน การที่ดีลนี้ตกลงกันได้ ถือว่า …สุดดดดยอออออดดด

จากนี้ไป หุ้น NUSA น่าจะกลับมาอยู่ในเรดาร์นักลงทุนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ที่มีขาประจำกลุ่มเดียว แต่ที่สำคัญจากนี้ไป ราคาขายพีพีที่ทำมา 3 งวด ไม่น่าจะเท่าเดิมอีกแล้ว เพราะตลาดเริ่มเป็นของผู้ขายไปแล้ว

วิน-วินทุกฝั่ง คนมาทีหลังที่ต้องจ่ายแพงกว่าเดิม ตามสูตร..

 

Back to top button