ที่จัดให้..ไม่พอ …ต้องจัดหนักแฉทุกวันทันเกมหุ้น

ไม่บ่อยครั้งนักที่ หุ้น IPO ที่เข้าเทรดวันแรก ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ แมนพงศ์ เสนาณรงค์ มือเก๋าด้านวาณิชธนกิจ และ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จะมีปรากฏการณ์ “หลุดจอง” ให้เห็น


ไม่บ่อยครั้งนักที่ หุ้น IPO ที่เข้าเทรดวันแรก ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ แมนพงศ์ เสนาณรงค์ มือเก๋าด้านวาณิชธนกิจ และ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จะมีปรากฏการณ์ “หลุดจอง” ให้เห็น

แต่แล้ว ชีวิตก็ต้องมี ข้อยกเว้นจนได้

กรณีหุ้นน้องใหม่ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ซึ่งเข้าเทรดวันแรกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา จำนวนหุ้น 150 ล้านหุ้นด้วยราคาจอง 9.00 บาท  เกิดหลุดจองเมื่อปิดการซื้อขายวันแรก

หนำซ้ำ วันที่สองที่เข้าเทรด ก็ยังเมาหมัด ราคาถูกถล่มขายหนัก ร่วงลงไปปิดที่ 7.70 บาทเกือบจุดต่ำสุดของวัน…หมดสภาพ

งานนี้ทำเอาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของมือเก๋าอย่าง แมนพงศ์ ที่ใครๆ ซูฮกมาตลอดว่า ไม่เคยพลาด มัวหมองไปไม่น้อย เพราะก่อนเข้าเทรด แมนพงศ์ มั่นใจให้สัมภาษณ์ว่า นักลงทุนสถาบันต้องการหุ้นมากถึง 11 เท่าของโควต้าให้นักลงทุนสถาบัน จำนวน 30 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็น 20% ของหุ้นไอพีโอทั้งหมด ในขณะที่โควต้าส่วนใหญ่แบ่งให้รายย่อยมากถึง 120 ล้านหุ้น

ที่สถาบันจองล้น ก็เพราะราคาไอพีโอหุ้นละ 9 บาท มีการทำบุ๊ค บิลดิ้ง พบว่า  มีส่วนลด 28% เมื่อเทียบราคายุติธรรมที่ช่วง 12-13 บาท ถือว่า พี/อี แค่ 5-6 เท่า ถูกแสนถูก

แถม แมนพงศ์ ยังบอกสรรพคุณว่า จุดแข็งของ ORI อยู่ที่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ 20% ด้วยโมเดลธุรกิจเฉพาะตัวโดดเด่น

ชื่อเสียงของแมนพงศ์ และสรรพคุณ ORI ทำให้นักวิเคราะห์ ประเมินราคาปิดวันแรกที่ระดับ 12 บาท หรือ 25% เหนือราคาจอง เพราะตามสไตล์ของ บล.กสิกรไทย และแมนพงศ์นั้น เวลาเทรดวันแรก หุ้นจะไม่ปิดสูงเว่อร์ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆไต่เพดานขึ้นตามผลประกอบการ ตามสูตร  let profit run

กรณี หุ้น SAPPE และ CBG แสดงให้เห็นเป็นต้นแบบมาแล้ว

สไตล์ วิน-วิน นี้  เจ้าของหุ้นได้เงินตามเป้า  คนซื้อหุ้นจองกำไรพอประมาณ และบางส่วนไม่ขายวันแรก เพราะเชื่อว่าจะไปต่ออีกยาว แถมตลาดฯและบรรดาโบรกเกอร์ “แมวขี้เกียจ” ทั้งหลายก็ชื่นชมกันจัง

แต่…ผิดคาด เพราะการหลุดจองวันแรก (แม้จะเปิดเหนือจองที่ 10.50 บาท แล้วโรยตัวลงมา) ทำให้ นายพีระพงศ์ จรูญเอก หรือ คุณโด่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมีเจตนามุ่งสร้างแบรนด์ให้โด่งดังเพราะมีโครงการในอนาคตอีกมากรออยู่ ต้องเดือดเนื้อร้อนใจมาสร้างความเชื่อมั่นว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ได้คิดจะขายหุ้นออกเพราะติดไซเลนต์ พีเรียด และได้พูดคุยกับนักลงทุนที่ถือหุ้นจองบางส่วนว่า น่าจะเข้าไปเก็บเพิ่มมากกว่า เพราะบริษัทยังมีโครงการที่จะทำรายได้อีกในทุกๆไตรมาส

พอถึงวันที่ 3 ราคาหุ้นที่ร่วงหนัก 2 วันแรก กลับพลิกสถานการณ์กะทันหัน แรงซื้อไม่รู้จากไหน ดันราคา ORI แรงจัดไปที่ราคาสูงสุดของวัน 9.10 บาท ก่อนจะมาปิดที่ 9.05 บาท บวกไป 1.35 บาท หรือ 17.53%

ใช้เวลาวันเดียว กลับมายืนเหนือจองได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

วันที่ 4 ของการซื้อขาย ราคาหุ้น ORI ยังแรงไม่หยุด บวกแรงต่อไปที่ราคาสูงสุดของวัน 11.40 บาท ก่อนจะปิดที่ 11.00 บาท ก่อนที่จะหยุดพักที่ราคานั้นในวันต่อไป แล้วก็ทะยานต่อวันถัดไปที่ระดับราคา 11.40 บาท แม้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้  12.00 บาท ก็ถือว่าใกล้เคียง

แล้วเรื่องที่ไม่ธรรมดาต่อไป ก็โผล่มา  เพราะวันอังอังคารที่ 13 ตุลาคม ขาใหญ่เหนือเมฆอย่าง นายนเรศ งามอภิชน แจ้งตลาดฯเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ว่า ได้เข้าเก็บหุ้น ORI ในช่วง 2 วันแรก เพิ่มจากเดิมที่ได้รับปันส่วนไปอีก 4.289% รวมแล้วถือหุ้นเกือบ 7%

วันถัดมา นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือ เสี่ยปู่ ขาใหญ่อีกคนหนึ่ง ก็โร่แจ้งตลาดฯว่า ได้เข้าซื้อหุ้น ORI ระหว่างวันที่ 7-8 ตุลาคม จนมีหุ้นในมือ 6%

สรุปสั้นๆ หุ้น ORI หลุดจอง 2 วันแรกครั้งนี้ มีรายการ…เตะหมูเข้าปาก….ขาใหญ่   เกิดขึ้น

ส่วนเจตนาจะเป็นเช่นใด..สามารถตีความได้ 2 แง่

กรณีแรก มองโลกในแง่ร้าย โบรกเกอร์ที่เป็นอันเดอร์ไรเตอร์ อาจจะร่วมสมคบคิดกับขาใหญ่ ทุบเอาของ 2 วันแรก ในราคาต่ำกว่าราคาจอง เพราะเอื้อประโยชน์ลูกค้าขาใหญ่ โดยเฉพาะสถาบันที่ไม่พอใจได้ปันส่วนน้อยเกิน

กรณีอย่างนี้ อาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของแมนพงศ์ เสียหายหลายสิบล้านทีเดียว ..แต่เจ้าตัวจะปฏิเสธยังไงกัน พูดไปก็เข้าเนื้อ

กรณีหลัง ตาเหยี่ยวของขาใหญ่อย่าง เสี่ยนเรศ และเสี่ยปู่ รู้นิสัยของเจ้าภาพหุ้นที่จะไม่ยอมเสียหน้า จึงกล้าทุ่มเงินหน้าตักเข้าช้อนซื้อไม่เกรงหน้าอินทร์ หน้าพรหม เพราะเกิดการ “จัดให้..ไม่พอ” ดังนั้นจึงต้อง จัดหนัก

แค่อาศัยลูกเก๋าที่ไม่ธรรมดา ตามหลัก ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ต่อว่ากันไม่ได้

กรณี ORI หลุดจอง 2 วันแรก แล้วเด้งเร็วเหนือจองได้สวยงามอย่างนี้..ผู้บริหารตลาดฯ และ ก.ล.ต. น่าจะปลีกเวลาไปดูสักนิด…เผื่อจะได้ข้อสรุปเจ๋งๆว่า…เรามาถึงจุดนี้ได้ไง!!!!  

Back to top button