พาราสาวะถี

ท่านผู้นำไปตรวจพื้นที่มีแต่คนมาตะโกนลุงตู่สู้ ๆ ก็สบายใจหายห่วง ส่วนเนื้อหาที่มีปราศรัยกับประชาชนก็แทบไม่ต้องคาดเดาว่าจะพูดเรื่องอะไรบ้าง


สรวลเสเฮฮาเป็นที่สุดกับการได้ลงไปประชุมครม.สัญจรและตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดกระบี่ สำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพราะถือเป็นฐานที่มั่นของตัวเองและพรรคแกนนำรัฐบาล ความจริงไม่จำเป็นต้องระดมกำลังตำรวจนับพันนายเพื่อมาเฝ้าระวังกลุ่มต่อต้าน เห็นได้ชัดภาพที่ท่านผู้นำไปตรวจพื้นที่มีแต่คนมาตะโกนลุงตู่สู้ ๆ ลุงตู่อยู่ยาว แบบนี้ก็สบายใจหายห่วง ส่วนเนื้อหาที่มีปราศรัยกับประชาชนก็แทบไม่ต้องคาดเดาว่าจะพูดเรื่องอะไรบ้าง

เนื้องานแทบไม่ต้องพูดถึง โควิดก็เน้นที่การคุยโม้โอ้อวดเรื่องวัคซีน ตามมาด้วยการประกาศใช้มาตรการทางสังคมกับคนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน ส่วนประเด็นที่ไม่พูดไม่ได้คือความสามัคคีของคนไทย ความเป็นปึกแผ่น และความเสียสละของบรรพบุรุษไทยในการรักษาความมั่นคงของประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเน้นย้ำอะไรมาก คนไทยส่วนใหญ่รู้ดีอยู่แล้ว ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะอย่าทำเป็นอย่างหนาหรือแกล้งไขสือก็คือ ที่ยึดอำนาจเข้ามาแล้วประกาศว่าจะสร้างสมานฉันท์ทำได้จริงหรือไม่

เหตุผลไม่ใช่เพราะมีคนไม่ยอมรับอำนาจเผด็จการหรือฝ่ายตรงข้ามจ้องที่จะล้มเพียงอย่างเดียว หากแต่ท่วงทำนองและวิธีการที่ถูกนำมาใช้ของคณะเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น ไม่ได้มีส่วนไหนที่เอื้อต่อการจะสร้างความสามัคคีของคนในชาติแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังถูกมองด้วยว่าการปล่อยให้เกิดความขัดแย้งและมีกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ยิ่งเข้าทางทำให้ใช้เป็นข้ออ้างในการอยู่ยาว หลอกกองเชียร์ที่ไม่ลืมหูลืมตาว่าถ้าไม่มีข้าบ้านเมืองนี้จะอยู่กันไม่ได้

พิสูจน์แล้วว่าที่เที่ยวโพนทะนาหาเสียงของพรรคสืบทอดอำนาจกับสโลแกน “เลือกความสงบจบที่ลุง” เป็นแค่มุกฮาที่ขำกันไม่ออก ยิ่งนานวันยิ่งมองไม่เห็นว่าความสมานฉันท์ที่ใช้เป็นข้ออ้างในการรัฐประหารนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ความจริงควรจะมีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบงบประมาณที่ใช้สำหรับการสร้างความปรองดองในยุคของเผด็จการคสช. ใช้กันไปเท่าไหร่แล้วมีผลสัมฤทธิ์ความสำเร็จจากการใช้เงินภาษีของประชาชนแค่ไหน เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารงานกันแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงปมการบังคับใช้กฎหมาย เอาแค่กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีล้มล้างการปกครอง ก็เห็นภาพแล้วว่า กลุ่มเคลื่อนไหวไม่ได้เกรงกลัวต่อคำขู่ใด ๆ มิหนำซ้ำ ตรงข้ามกลับมีการท้าทาย เรียกร้อง ชักชวนให้สังคมจับตามองขบวนการที่จะบั่นทอนสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ส่วนฝ่ายที่ทำหน้าที่ไอโอก็ทำทุกทางที่จะดิสเครดิต ทำลายความน่าเชื่อถือของกลุ่มคนหนุ่มสาว แต่ยิ่งปราบเหมือนยิ่งเพิ่มจำนวนคนที่เข้ามาร่วมมากขึ้น

แน่นอนว่าเมื่อเกิดภาพเช่นนี้ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าปากจะอ้างเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและคนไทยทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย หากแต่จะต้องมีการเปิดเวทีเพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยน นำไปสู่ประเด็นที่สังคมส่วนใหญ่ตกผลึกทางความคิดร่วมกัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้แสดงความปลิ้นปล้อนตั้งแต่บอกว่าจะเปิดเวทีรับฟังความเห็นของคนรุ่นใหม่ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จนล่วงเลยมาถึงบัดนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน เมื่อมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเข้ามา ก็ไม่รู้ว่านี่คือแผนการโปรโมตแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ และอาจไม่มีประเทศไหนในโลกจะมาเหมือนนั่นก็คือ ในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ หลายจุดจะมีการนำซากตู้คอนเทนเนอร์ที่เตรียมไว้รับม็อบนำไปกองเก็บไว้ สำหรับคนไทยรู้ว่าคืออะไร แต่คนต่างชาติคงรู้สึกอะเมซิ่งที่เห็นสิ่งนี้มาตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองหลวง แทนที่จะไปอยู่ตามท่าเรือหรือคลังสินค้าต่าง ๆ ถ้าไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการในคราบประชาธิปไตยไม่มีใครกล้าทำแบบนี้เด็ดขาด

ขณะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมีความสุขในการประชุมครม.สัญจรที่กระบี่ วันเดียวกันที่รัฐสภาจะมีการประชุมรัฐสภาวาระพิจารณาที่จับตากันคือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่าไม่มีทางผ่านความเห็นชอบล้านเปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องไปลงลึกในเนื้อหาสาระอื่น ๆ ให้เมื่อยตุ้ม แค่ประเด็นการเลิกส.ว.ลากตั้ง แล้วให้ประเทศไทยมีแค่สภาเดียวคือสภาผู้แทนราษฎร แค่นี้ 250 เสียงของส.ว.ลากตั้งก็ไม่มีใครสนับสนุนแล้ว

ไม่ต้องอ้างเหตุอ้างผลอะไรมาก เอาแค่ว่าคนที่เลือกพวกลากตั้งเข้ามาไม่ยอมให้ผ่าน ในเมื่อไม่เคยยอมรับความเห็นที่แตกต่างอยู่แล้ว จะมายอมให้ร่างเสนอแก้ไขกฎหมายสำคัญที่มาจากภาคประชาชนผ่านไปได้อย่างไร ส่วนที่บรรดาส.ว.ลากตั้งบางรายออกมาจีบปากจีบคอแถลงนั้น แค่สร้างมูลค่าให้กับตัวเอง ทำตัวให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจจากเผด็จการสืบทอดอำนาจเลือกเข้ามาก็เท่านั้น ส่วนภาคประชาชนผู้เสนอคงไม่มีอะไรต้องติดใจ เมื่อรู้กันตั้งแต่ยกร่างแล้วว่ายังไงก็ไม่มีทางที่จะผ่านไปได้

สิ่งที่ต้องขบคิดกันต่อจากกรณีนี้ไม่ใช่แค่ว่าไม่ผ่านแล้วจบกัน เพราะท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตามมาด้วยแถลงการณ์ของทั้งคนรุ่นใหม่ บรรดาคณาจารย์ นักวิชาการทั้งหลาย ขณะที่ฝ่ายกุมอำนาจโดยเฉพาะลิ่วล้อสอพลอที่มีตำแหน่งแห่งหนทั้งหลายก็ประกาศเดินหน้าชน ท่วงทำนองของสังคมในลักษณะเช่นนี้ ถามผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจดัง ๆ ปลายทางมันจะจบลงที่ความสงบสุขหรือเกิดความวุ่นวายถึงขั้นกลียุคกันแน่

สำหรับสถานการณ์โควิด-19 มองเห็นทิศทางแล้วว่าหลังการเปิดประเทศ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและทีมที่ปรึกษาทั้งหลายต่างมีความหวังว่าจะเอาอยู่ และทำให้คนไทยอยู่กับโควิดไปให้ได้ โดยใช้วัคซีนเป็นตัวควบคุมและมีเป้าหมายให้กลายเป็นโรคประจำถิ่น แต่เวลานี้จะเห็นว่ามีการระบาดในหลายพื้นที่ที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่

คำถามสำคัญก็คือ เราเลือกที่จะมองข้ามเพราะเป็นแค่จังหวัดเดียว หรือมีห่วงอีกแค่บางจังหวัด ไม่มีอะไรน่าตกใจ แก้ไขกันให้ได้แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น หรือจะต้องเตือนประชาชนให้การ์ดอย่าตกและพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ต้องมาคอยแก้ต่างแก้ตัวหรือโยนให้เป็นความผิดของประชาชนอีก เพราะเลือกที่จะลุยก็ต้องกล้าที่จะแสดงความรับผิดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ไม่ใช่จ้องแต่จะรับชอบเพียงอย่างเดียว

Back to top button