พาราสาวะถี

เปรมชัย กรรณสูต ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จากคดีฆ่าเสือดำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร


กมฺมุนา วตฺตตี โลโก “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” เปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จากคดีฆ่าเสือดำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก หลังสู้คดีมานานเกือบ 4 ปี คงไม่มีใครซ้ำเติมหรือสมน้ำหน้า นอกจากจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่า ใครทำสิ่งไหนย่อมได้รับผลแห่งการกระทำเช่นนั้น

ความจริงเจ้าสัวระดับพันล้านหมื่นล้าน ไม่จำเป็นต้องไปลงทุนล่าเสือดำเพื่อเสริมพลังอะไรให้กับตัวเอง มีเงินระดับนี้สามารถสรรหาสิ่งดี ๆ จากที่ใดในโลกมาบำรุงร่างกายตัวเองได้ตลอดเวลา บทพิสูจน์อีกประการก็คือ คนเราเงินไม่ใช่คำตอบสุดท้ายว่าจะทำให้ชีวิตสุขสบาย ถ้าภายในจิตใจไม่สามารถควบคุมด้านมืดของตัวเองได้ ก็มีโอกาสที่จะนำพาตัวเองเข้าไปสู่หายนะอย่างที่ไม่คาดมาก่อนได้ ใครจะเชื่อว่าเจ้าสัวระดับนี้จะมีชะตากรรมในบั้นปลายด้วยการไปใช้ชีวิตอยู่ในคุกตะราง

หนึ่งชีวิตหรืออีกหลายชีวิตของสัตว์ที่ถูกปลิดทิ้งเพื่อสนองความอยากของมนุษย์ แม้สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นจะไม่สามารถเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับตัวเองได้ แต่กรรมที่คนผู้นั้นก่อขึ้นมักจะตามทันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กรณีของเจ้าสัวเปรมชัยเป็นตัวอย่าง เจ้าตัวกำลังจะเข้าไปชดใช้สิ่งที่ได้กระทำไปในอดีตที่ผ่านมา กำเกวียนกงเกวียนตามหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนานั้นเป็นจริงเสมอ

เช่นเดียวกันกับการกระทำในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมกลเกมกลโกงอย่างไรเพื่อที่จะปกปิดสิ่งที่ตัวเองหรือพรรคพวกทำไว้ ยิ่งในกรณีของคนที่มีอำนาจบาตรใหญ่ ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครหนีพ้นความเป็นจริงไปได้ เหมือนดังชะตากรรมของอดีตจอมเผด็จการทั้งหลายขีดเส้นเอาเฉพาะในประเทศไทย ในยุคสมัยของคนที่มีอำนาจอาจไม่เกิดผลอะไรกับตัวเอง แต่หลังจากนั้นบาปกรรมก็ตกไปอยู่ที่ลูกหลาน ไม่ถึงขั้นว่าไม่สามารถใช้ชีวิตปกติสุขได้ แต่ก็ถูกเพ่งเล็งและสังคมตั้งแง่อยู่ตลอดเวลา

ขณะที่ขบวนการเผด็จการสืบทอดอำนาจในปัจจุบัน ด้วยกลไกที่วางกันไว้อาจช่วยกันปกปิดและไม่สามารถเอาผิดในทุกการกระทำได้ แต่ในอนาคตเมื่อหมดอำนาจไปแล้วและเกิดความไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภาษิตจีนอาจจะบอกว่าแก้แค้น 10 ปียังไม่สาย ส่วนในทางการเมืองเมื่ออำนาจเปลี่ยนมืออย่าคิดว่าสิ่งที่สร้างเกราะกำบังไว้ให้กับตัวเองจะสามารถคุ้มกะลาหัวได้ตลอดไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หรือแม้แต่เวลาที่อยู่ในอำนาจภายนอกอาจดูสดใส แต่ภายในใจนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์อยู่ตลอดเวลา

การยอมรับว่าเป็นนักการเมืองด้วยการยกตัวเองว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เป็นอีกหนึ่งเรื่องของการจนแต้มที่ไม่สามารถจะหาทางหลบเลี่ยงได้ ในเมื่อยังยึดติดกับอำนาจที่มีและจะเดินต่อไปบนเส้นทางที่ได้วางแผนไว้ให้ได้นานที่สุด ก็ต้องจำใจรับสารภาพแบบไม่เต็มใจ แต่การประกาศตัวเช่นนี้ก็ย่อมทำให้เกิดแรงกระเพื่อม เกิดความเคลื่อนไหวที่เป็นแรงกดดันภายในพรรคแกนนำรัฐบาล

การประกาศตัวเป็นนักการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ อีกด้านก็เหมือนการส่งสัญญาณไปถึงบรรดานักเลือกตั้งภายในพรรคสืบทอดอำนาจทั้งหลาย ใครที่ยังไม่แน่ใจหรือมีทีท่าว่าจะตีตัวออกห่างก็ให้คิดกันเสียใหม่ ขณะเดียวกันบรรดาคนสอพลอทั้งหลายที่อยู่ในพรรคแกนนำรัฐบาลก็ต้องเลือกให้ถูกจะถือหางใคร เป็นพวกไหน เพื่อไม่ให้ตกขบวนผลประโยชน์หรือการแลกเปลี่ยนทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนหัวขบวนทั้งหลายก็ต้องจับทิศทางทางการเมืองกันอย่างใกล้ชิด

ดังนั้น ทุกเรื่องที่่เกี่ยวข้องกับการเมืองภายในพรรคสืบทอดอำนาจ จึงไม่ได้มีบทสรุปว่าจะจบที่การตัดสินใจของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ในฐานะหัวหน้าพรรค ดังกรณีการจะส่งคนชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. จากเดิมที่พี่ใหญ่วางตัว พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร.ไว้ แต่ก็ไปต่อไม่ได้เมื่อน้องเล็กอยากจะให้ พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ คนปัจจุบันเป็นตัวแทน แต่เสียงภายในพรรคไม่เห็นด้วย จนถึงนาทีนี้ก็ไม่มีความชัดเจนว่าจะจบกันอย่างไร

พอจะเข้าใจได้เหตุผลที่ทางพรรคสืบทอดอำนาจไม่อยากได้ตัวอัศวินด้วยเหตุผลว่าคนกรุงเทพฯ ต้องการความเปลี่ยนแปลง ขณะที่อีกด้านต่างก็รู้กันดีว่าคนที่ถูกเสนอชื่อนั้นผลงานกับความพอใจของคนเมืองหลวงเป็นอย่างไร แต่ภาพล่าสุดที่พี่น้องแก๊ง 3 ป.ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกันที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภายในกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ โดยปรากฏภาพผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพูดคุยและหยอกล้อกับพี่ใหญ่อย่างเป็นกันเอง โดยมีน้องรองยืนยิ้มแย้มด้วยความพึงพอใจด้วยนั้น ไม่รู้ว่าจะทำให้บรรยากาศภายในพรรคดีขึ้นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ต้องตามต่อเนื่องจากการสลายการชุมนุมของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น ที่ไม่ได้เกิดข้อถกเถียงเพียงแค่ว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่ยังกลายเป็นเรื่องวกกลับมาถึงการปีนเกลียวกันระหว่าง ธรรมนัส พรหมเผ่า กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เหมือนที่่บอกไปแม้ท่านผู้นำจะปฏิเสธว่าสิ่งที่อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปตกปากรับคำกับม็อบมานั้น ไม่ได้มีผลผูกพันและไม่มีมติครม.รองรับ

แต่คำถามสำคัญคือแล้วการไปทำหน้าที่ตรงนั้นของธรรมนัสภายใต้คำสั่งแต่งตั้งของใคร ก็ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นคนเซ็นตั้งเองมิใช่หรือ ยืนยันจากปากของ วิษณุ เครืองาม กรณีธรรมนัสมีคำสั่งชัดเจนและมีการตั้งคณะทำงานชัดเจน ประกอบด้วยบุคคลต่าง ๆ แม้จะออกตัวว่าจำไม่ได้ลงนามโดยผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหรือพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. และทำไขสือว่าจำไม่ได้ว่าหลังเจรจาและมีการทำเอ็มโอยูได้มีการนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.และมีมติไปหรือไม่

แต่เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอที่จะยืนยันว่าการทำงานของธรรมนัสเป็นไปตามบัญชาของผู้นำรัฐบาลเพื่อยุติการชุมนุมของกลุ่มคัดค้าน แล้ววันนี้จะมาอ้างข้าง ๆ คู ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ การบอกปัดแบบไม่ใยดีย่อมไม่เป็นผลดีต่อสัมพันธภาพภายในพรรคสืบทอดอำนาจอย่างแน่นอน เพราะการทำงานทุกเรื่องของธรรมนัสที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับรัฐบาลและโยงไปถึงพรรคต้นสังกัด คนที่ต้องรับรู้และไฟเขียวทุกขั้นตอนก็คือพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. เช่นนี้จึงทำให้ต้องคิดหนักย้อนกลับไปภาพกินข้าวกันหยอกล้อกันว่ารักกันเหมือนเดิมหรือแค่สร้างภาพ

Back to top button