SCGP ดีมานด์ฟื้นตัว

สถานการณ์โควิด-19 ได้ผ่อนคลายลงทั้งในไทยและอาเซียน ซึ่งส่งผลให้มีการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และทำให้ความต้องการฟื้นตัว


คุณค่าบริษัท                  

สถานการณ์โควิด-19 ได้ผ่อนคลายลงทั้งในไทยและอาเซียน ซึ่งส่งผลให้มีการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และทำให้ความต้องการฟื้นตัว โดยเฉพาะในเวียดนาม เนื่องจากการใช้กำลังการผลิตกลับมาในระดับ 80-90% จากไตรมาส 3 ปี 2564 ที่ผ่านมาที่ลดลงเหลือเพียง 50% ของความต้องการนั่นเอง

สำหรับการฟื้นตัวทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ในตลาด คือ Testliner ปรับขึ้นเป็น 520 เหรียญต่อตัน (เพิ่มขึ้น 9.5% จากไตรมาสก่อนถึงปัจจุบัน) ในขณะที่ต้นทุนเศษกระดาษนำเข้าอ้างอิง AOCC ลดลงเหลือ 295 เหรียญต่อตัน (ลดลง4.8% จากไตรมาสก่อนจนถึงปัจจุบัน) เนื่องจากการเก็บเศษกระดาษได้คล่องตัวขึ้นหลังโควิด-19 ผ่อนคลาย และทำให้สเปรดเพิ่มขึ้นเป็น 225 เหรียญต่อตัน (เพิ่มขึ้น 36% จากไตรมาสก่อนถึงปัจจุบัน)

ส่วนต้นทุนเศษกระดาษในประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2/3 เทียบกับนำเข้า 1/3 ข้อมูลจาก www.wongpanit.com พบว่าราคารับซื้อเศษกระดาษแข็งกล่องน้ำตาล (A) ต้นเดือน ธ.ค. ลดลงเหลือเพียง 4.0 บาท/กก. หลังจากที่ขึ้นไปสูงสุดในเดือน ก.ย. ที่ 7.7 บาท/กก. คาดจะส่งผลบวกต่อต้นทุนเศษกระดาษในประเทศปรับลดลงอย่างมาก

ทั้งนี้ด้วยความต้องการที่ฟื้นตัว ราคาผลิตภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ทำให้สเปรดดีขึ้น ในขณะที่ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ขายบรรจุภัณฑ์ครบวงจรบวกด้วยโซลูชั่นจะได้ราคาดีกว่าปกติ และได้แรงหนุนเพิ่มจากการ M&P (Duy Tan และ Intan) เต็มไตรมาส

ดังนั้น เบื้องต้น บล.เมย์แบงก์ คาดกำไรปกติในไตรมาส 4 ปี 2564 จะฟื้นตัวดีขึ้นเป็นประมาณ 1,800-2,000 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 17% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) ขณะเดียวกันรวมปี 2564 คาดจะมีกำไร 8,105 ล้านบาท เติบโต 21% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ SCGP วางงบลงทุนปี 2564 ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อการเติบโตทั้ง Organic และ Inorganic โดยมี 5 โครงการที่ขยายกำลังการผลิตที่จะทยอยเสร็จในปี 2564-2565 จะช่วยเพิ่มยอดขายรวม 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี รวมถึง M&P 3 บริษัท (Duy Tan, Intan และ Deltalab) ที่จะรับรู้ในครึ่งหลังปี 2564 จะช่วยเพิ่มยอดขายต่อปีประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท และยังบวกด้วยการเติบโตสูง

ส่วนปี 2565 คงตั้งงบลงทุนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ปี 2565 คาดยอดขายจะโต 15% สู่ระดับ 138,836 ล้านบาท และมีกำไร 10,570 ล้านบาท เติบโต 30%

ด้วยผลดังกล่าวในการเพื่อสนับสนุนการเติบโต คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 75 บาท

…..

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) 3,095,882,660 หุ้น 72.12%
  2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 134,853,289 หุ้น 3.14%
  3. บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด 71,498,900 หุ้น 1.67%
  4. สำนักงานประกันสังคม 44,872,386 หุ้น 1.05%
  5. นายณรัฐ จิวาลัย 39,188,000 หุ้น 0.91%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระ
  2. นายชลณัฐ ญาณารณพ รองประธานกรรมการ
  3. นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, กรรมการ
  4. นายธีรพงศ์ จันศิริ กรรมการ
  5. นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการ

Back to top button