เครือปตท.กับเงินปันผล

หุ้นบริษัทในเครือกลุ่มปตท. บริษัทน้ำมันแห่งชาติ จ่ายปันผลมาแล้ว ยกเว้นบริษัทแม่ที่จะปิดงบและจ่ายปันผลทีหลังใครเพื่อน


หุ้นบริษัทในเครือกลุ่มปตท. บริษัทน้ำมันแห่งชาติ จ่ายปันผลมาแล้ว ยกเว้นบริษัทแม่ที่จะปิดงบและจ่ายปันผลทีหลังใครเพื่อน (คงจะต้องรับเงินจ่ายปันผลราวไตรมาสสอง หรือเดือนเมษายน)…ผลปรากฏว่าดีกันถ้วนหน้า เรียกว่าเข้าสู่ภาวะปกติกันแล้ว กำไรสุทธิกลับมาสดใส บางบริษัทแม้จะไม่ทำนิวไฮ แต่ก็ถือว่า ไม่ถึงกับน่าผิดหวัง

บริษัทลูกที่กำไรกลับมาเฉิดฉายอีกครั้งได้แก่ PTTEP จ่ายปันผลหุ้นละ 3.00 บาท น่าชื่นใจเหมือนเดิม เพราะเป็นที่เข้าใจกันดีว่า หุ้นในเครือนี้ มีเพดานการจ่ายปันผลต่ำกว่าปกติตามสไตล์หุ้นในกลุ่มรัฐวิสาหกิจ ที่จ่ายปันผลไม่เคยเกิน 2.5% ของราคาหุ้น

TOP ประกาศจ่ายปันผลแค่ 2.00 บาทต่อหุ้น และหุ้นโรงไฟฟ้าอย่าง GPSC ที่จ่ายลดลงไป คือ 1.00 บาทต่อหุ้น

สำหรับหุ้นน้องใหม่ในเครือที่เพิ่งแยกตัวออกมาเป็นเอกเทศอย่าง OR จ่ายปันผลเหนียวสุด ๆ แค่ 0.19 บาทต่อหุ้น และหุ้นที่ราคาตลาดต่ำสุดคือ IRPC ที่กำไรกลับมาสวยงามกว่าในเครือด้วยกัน ก็จ่ายปันผลหลังจากปีก่อนขาดทุนสุทธิไป ปีนี้จ่ายมากถึง 0.14 บาท คิดเป็นอัตราจ่ายปันผลดีเด่นในกลุ่ม เมื่อเทียบกับราคาบนกระดานล่าสุดที่ใต้ 4.00 บาท

ถามว่าซื้อหุ้นในเครือปตท.คิดจากการจ่ายปันผลแล้วใครให้อัตราจ่ายปันผลดีสุด ก็คงต้องบอกว่าเรียงตามลำดับหัวแถวลงไปเห็นจะเป็น PTTEP รองลงไปคือ TOP ที่ปีนี้กำไรสุทธิสวยงามมากเลยจ่ายปันผลเป็นพิเศษ 2.00 บาท มากเกินกว่าราคาหุ้นบนกระดานซื้อขาย

การจ่ายปันผลนี้ ถือเป็นจุดฟื้นตัวที่มีนัยสำคัญของค่ายปตท. ที่มีอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผลไม่มากนัก แต่อัตราเติบโตของกิจการในเครือข่ายที่มีต่อเนื่องทำให้ความเสี่ยงที่จะไม่จ่ายปันผลในสิ้นปีมีน้อยลงไป

ระยะหลังนี้ จะเห็นได้ว่าในขณะที่หุ้นแม่ที่ทำตัวเป็นบริษัทโฮลดิ้งมากขึ้น ในการกำกับแผนธุรกิจให้เดินหน้าต่อเนื่อง ทั้งการขยายธุรกิจด้านพลังงาน และนอนออยล์ต่อเนื่องอย่างยืดหยุ่น จะเห็นว่าการเข้าซื้อกิจการระหว่างประเทศมีมากขึ้น และยังเคลื่อนตัวเข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่ไม่คุ้นเคยโดยผ่านพันธมิตรธุรกิจ เช่นธุรกิจแบตเตอรี่รถยนต์ และสถานีบริการเติมไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เป็นต้น

บริษัทที่น่าสนใจในการขับเคลื่อนเหล่านี้ มีบริษัท GPSC ด้านโรงไฟฟ้า และ PTTGC ที่เที่ยวไล่ซื้อบริษัทปิโตรเคมีข้ามชาติหลายรายขนาดใหญ่ทั้งสิ้น

ผลของดีลซื้อกิจการในต่างประเทศขนาดใหญ่ของ PTTGC ในปี 2564 อาจจะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ยอดขายที่เติบโตมากถึง 465,128 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้น ทั้งจากดีมานด์ของสินค้าที่บริษัทผลิตที่ได้รับผลบวกจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 และราคาขาย ปรับเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์

จุดเด่นดังกล่าวทำให้กำไรสุทธิของ PTTGC เพิ่มขึ้นโดดเด่นมาก มีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและการกลับมูลค่าทางบัญชีของสินค้าคงเหลือ การเกิดผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และผลขาดทุนจากตราสารทุนที่มีการประกันความเสี่ยง และ รายการพิเศษอื่น ๆ) ปรับตัวเพิ่มจากปีก่อนหน้ามากกว่าร้อยละ 200 ดันกำไรสุทธิปกติให้เติบโตร้อยละ 93 จากปีก่อนหน้า

แล้วยังผสมโรงด้วยกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท GPSC ซึ่งรับรู้ในงบการเงินรวม 11,834 ล้านบาท ดันให้กำไรสุทธิรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 200

ปีนี้ แม้ว่าอาจจะไม่มีรายการพิเศษแบบปีที่ผ่านมา แต่การที่ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องยังจะมีผลประกอบการดีขึ้นโดยราคา PE ปรับตัวตาม ทิศทางราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ตลาด PE ได้รับปัจจัยสนับสนุน

แม้จะมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในปีนี้ก็ตาม

ราคาน้ำมันที่สูงน่าจะช่วยทำให้ราคาหุ้นในเครือปตท.เป็นขาขึ้น แทนที่จะต่ำเตี้ยเหมือนช่วงที่ผ่านมา  แม้อัตรากำไรสุทธิที่ลดลงหากเทียบกับราคาบนกระดาน

หุ้นที่น่าสนใจในเครือ ปตท.ปีนี้ นับว่า โดดเด่นทุกรายการโดยเฉพาะ PTTEP และ PTTGC

อ้อลืมไป หุ้นแม่อย่าง PTT ด้วย

ใครจะหาว่าเชียร์แขก…ก็ว่าไป ของเขาดีจริง ๆ

Back to top button