พาราสาวะถี

บรรดาตัวเต็งทั้งหลายก็ใช้วิธีการเดินทางมาสมัครด้วยวิธีที่แสดงถึงความเป็นคนติดดิน หวังซื้อใจคนกรุงเทพฯ


สมัครกันไปเรียบร้อยสำหรับบรรดาผู้เสนอตัวให้คนเมืองหลวงเลือกเป็นผู้ว่าฯ บรรดาตัวเต็งทั้งหลายก็ใช้วิธีการเดินทางมาสมัครด้วยวิธีที่แสดงถึงความเป็นคนติดดิน หวังซื้อใจคนกรุงเทพฯ เป็นประเดิม เริ่มจาก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ที่ถูกโซเซียลมีเดียยกให้เป็นรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งในปฐพี ก็มาสมัครด้วยการปั่นจักรยานซึ่งก็ถือเป็นภาพที่เคยเห็นกันมาก่อนหน้า ขณะที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล เดินทางด้วยรถเมล์ ส่วน พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯ ลากตั้งมาด้วยรถตุ๊กตุ๊ก

อยู่ที่คนกรุงเทพฯ จะมองว่าใครทำได้เนียนตากว่ากัน ทั้งหมดไม่ใช่จะมาทำกันแค่วันสมัครเลือกตั้ง หากแต่จะต้องผ่านการปฏิบัติที่ถือเป็นกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอ คนถึงจะเชื่อใจ พวกที่มาเรียกคะแนนสงสารหรือสร้างคะแนนนิยม ก็แค่นักสร้างภาพที่ไม่อาจจะซื้อใจชาวบ้านได้ ส่วนการจับสลากหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร วิโรจน์ถือว่าดวงเฮงกว่าเพื่อนที่จับได้เบอร์ 1 ขณะที่ชัชชาติได้เบอร์ 8 ส่วนอัศวินได้เบอร์ 6 ด้าน สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากประชาธิปัตย์ได้เบอร์ 4 สกลธี ภัททิยกุล ได้เบอร์ 3

แน่นอนว่าแต่ละคนก็จะหามุมมาอธิบายข้อดีของเบอร์ที่ตัวเองได้รับ หากเป็นการเมืองแบบเดิมคนก็อยากจะได้เบอร์ต้น ๆ เพราะคิดว่าคนจะจำได้ง่ายและเลือกกาได้สะดวก สำหรับยุคนี้ที่คนตามทันข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะชาวกรุงเทพฯ ไม่จำเป็น ส่วนหนึ่งตัดสินใจตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้วว่าจะเลือกใคร ส่วนใหญ่จะรอดูข้อมูลจนวินาทีสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ซึ่งจังหวะเช่นนี้แหละที่บางพรรคบางพวกใช้ความสามานย์ทำลายฝ่ายตรงข้าม จนตัวเองคว้าชัยชนะมาได้

ทว่าปัจจุบันปฏิบัติการด้านข่าวสารหรือไอโอใช้ไม่ได้ผล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสงครามโฆษณาชวนเชื่อที่กลายเป็นเรื่องตกยุคไปแล้ว ทั้งนี้หลังจากที่ได้เห็นโฉมหน้าของผู้สมัครตัวหลักทั้งหมดแล้ว ชอตต่อไปก็เป็นเรื่องของการวิเคราะห์ฐานเสียงและทำการบ้านเพิ่มเพื่อที่จะดึงเสียงในส่วนที่ยังไม่ตัดสินใจ เดิมทีชัชชาติที่เป็นเต็งจ๋า ถ้าไทยสร้างไทยไม่ส่งผู้สมัครก็อาจจะกลายเป็นคนที่ชนะจากโพลแล้วเข้าป้ายในสนามจริงแบบแบเบอร์

พอมีคนมาตัดคะแนน ก็ทำให้น่าเป็นห่วงจากที่ทำท่าจะม้วนเดียวจบก็ต้องรอดูสถานการณ์ว่าจะทำให้กอดคอกันจอดหรือไม่ ส่วนซีกของขบวนการสืบทอดอำนาจทั้งอัศวิน สกลธี รวมไปถึงสุชัชวีร์จากประชาธิปัตย์ ใช้การเลือกตั้งซ่อมเขต 9 กทม.เป็นฐาน ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่ากลุ่มที่ไม่เลือกใครคงไม่ปันใจมาสนับสนุนแน่ ฐานเสียงของฝั่งนี้ยังเป็นแนวร่วมม็อบกปปส.และพวกไม่เอาทักษิณที่ยังยึดกุมอยู่กับความเชื่อแบบเดิม ๆ

ดังนั้นจึงเป็นการแย่งคะแนนเสียงกันเอง ขณะเดียวกันตัวละครในฝ่ายสืบทอดอำนาจทั้งผู้นำเผด็จการ และพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ที่แม้จะแทงกั๊กอ้างว่าไม่ได้สนับสนุนใคร แต่ก็เป็นอันรู้กันว่าทั้งคู่แยกทางเดินกันในการสนับสนุนผู้ชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.อย่างเด่นชัด ท่านผู้นำถือหางอัศวินที่ได้ ถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำกปปส.ประกาศตัวช่วยหาเสียงอย่างเป็นทางการ ลำพังตัวเองยังต้องพ้นจากเก้าอี้ทั้งส.ส.และรัฐมนตรี ที่มาการันตีกันแบบนี้ก็น่าจะช่วยได้แค่บางส่วนจากฐานกทม.ฝั่งตะวันออกเท่านั้น

ส่วนพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ก็แน่นอนว่าหนุนสกลธีหลานรักอยู่แล้ว โดยมีความพยายามที่จะให้เป็นผู้สมัครในนามพรรคสืบทอดอำนาจเสียด้วยซ้ำไป หากแต่เจ้าตัวมองเห็นแล้วว่าสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. การลงสมัครในนามอิสระจะมีโอกาสมากกว่า ไม่เหมือนในยุครัฐบาลเลือกตั้งที่มีฝ่ายบริหารเป็นเพื่อไทย ตรงนั้นยังไงคนของประชาธิปัตย์ก็เข้าวินเพราะคนกรุงเทพฯ จะใช้วิธีการเลือกกันแบบนี้ จะบอกว่าฐานเสียงของพรรคเก่าแก่ยังเหนียวแน่นในกทม.ก็ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะคนเมืองหลวงไม่อยากให้ฝ่ายบริหารและผู้บริหารกทม.เป็นพรรคเดียวกันก็เท่านั้น

เมื่อเสียงของฝ่ายไม่เอาทักษิณมีตัวเลือกทั้งอัศวินและสกลธีแล้ว คนของพรรคเก่าแก่อย่างพี่เอ้ สุชัชวีร์ จะเหลือคะแนนที่ไหนมาสนับสนุน ประเภทแฟนพันธุ์แท้ยังคงมีอยู่แต่ไม่น่าจะมากพอที่ทำให้ผู้สมัครของพรรคได้รับชัยชนะเหมือนเมื่อคราว หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร เคยได้รับสองหนก่อนหน้า ยิ่งมีประเด็นปัญหาส่วนตัวของผู้สมัครที่ถูกตีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะหาทางแก้เกมกันอย่างไรดูจากช่วงเวลาที่เหลือ โอกาสที่จะตีตื้นกลับมาท่าจะยาก

จากสถานการณ์ที่เป็นไปในลักษณะเช่นนี้ จึงทำให้บรรดาท่านรองทั้งหลายหันไปให้ความสนใจวิโรจน์จากพรรคก้าวไกลในทันที ด้านหนึ่งคือเสียงที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ยังเหนียวแน่นอยู่เหมือนเดิม โดยมีเสียงของคนรุ่นใหม่ที่ว่ากันว่าถ้าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.หนนี้ คนหนุ่มสาวหลั่งไหลกันออกมาลงคะแนน ก็น่าจะทำให้อดีตส.ส.กทม.รายนี้กลายเป็นตาอยู่ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เสียงของคนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งก็อาจจะแบ่งไปหนุนชัชชาติด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของวิโรจน์ที่เป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกลนั้น มีการทำนายกันไว้ว่าในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนหย่อนบัตร อาจจะมีการเปิดเกมกล่าวหา โจมตีว่าด้วยประเด็นเกี่ยวกับสถาบันที่ถือเป็นจุดอ่อนที่พรรคสีส้มถูกเล่นงานมาโดยตลอด เมื่อเป็นเช่นนั้นก็อาจจะทำให้คะแนนเสียงที่ควรจะได้หดหายไปไม่น้อย นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นออกจากจุดสตาร์ท บางทีตัวเต็งอย่างชัชชาติอาจจะมีไม้เด็ดที่กินรวบเป็นทางเลือกของกองเชียร์แต่ละฝ่ายก็เป็นได้ เพราะบางคนมองว่าเจ้าตัวจะชนะหรือไม่ไม่ใช่ความน่ากลัวของคู่แข่ง หากแต่เป็นการเอาชนะตัวเองของชัชชาติเสียมากกว่า ในการที่จะสู้กับแรงเสียดทานและแก้เกมต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญ

การเมืองภาพใหญ่ว่าด้วยคนเนื้อหอมอย่างผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ การประกาศถ้าได้รับโอกาสก็ทำงานต่อ ไม่ได้ก็กลับบ้านนอน คือการส่งสัญญาณกับดักเงื่อนเวลา 8 ปีในการเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ปัญหา ยังไงก็อยู่ยาว แต่จะอยู่กับใคร พรรคไหน ตรงนี้ต่างหากที่น่าสนใจ พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ยังยืนกระต่ายขาเดียวน้องเล็กยังเป็นตัวเลือกแรกและตัวเลือกเดียวสำหรับแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคสืบทอดอำนาจ ขณะที่รวมไทยสร้างชาติก็ชูท่านผู้นำเป็นจุดขายของพรรค นี่แหละการเมืองว่าด้วยเรื่องอำนาจ การชิงไหวชิงพริบมีให้เห็นตลอดเวลา อยู่ที่ว่าใครจะเป็นฝ่ายหลงเหลี่ยมก่อนกัน

Back to top button