กนง.หั่น GDP แต่ ‘ไพบูลย์’ เชื่อหุ้นไทยไป 1,800 จุด

“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ยังไม่เปลี่ยนมุมมอง โดยยังมั่นใจว่าทั้งปีนี้ SET Index จะพุ่งทะยานขึ้นไปแตะระดับ 1,800 จุด ได้ตามเป้าหมาย


เส้นทางนักลงทุน

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อปี โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ยังขยายตัวได้ที่ 3.2% แต่มีการลดเป้าการขยายตัวลงจากการประชุมครั้งก่อน ซึ่งคาดการณ์ไว้ที่ 3.4% ส่วนปี 2566 คาดขยายตัวที่ 4.4% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4.7%

กนง.มองว่าเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและภาคการท่องเที่ยว โดยผลของการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่มากเท่าระลอกก่อนหน้า และแม้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะส่งผลให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น จากการปรับขึ้นของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ตลอดจนอุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอลง แต่จะไม่กระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวม

กนง.ยังคาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปี 2565 จะปรับสูงขึ้นเกินกรอบเป้าหมาย ก่อนจะทยอยลดลงและกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงต้นปี 2566 จากราคาพลังงานและอาหารที่คาดว่าจะไม่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทาน (cost-push inflation) เป็นหลัก ในขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ (demand-pull inflation) ยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 4.9% และ 1.7% ตามลำดับ จากการประเมินครั้งก่อนอยู่ที่ 1.7% และ 1.4% ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 5% ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ในปี 2565 ดังนั้นการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ก็เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม กนง.ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในบางอุตสาหกรรมที่อาจยืดเยื้อ และผลกระทบจากค่าครองชีพและต้นทุนที่สูงขึ้นต่อภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจในกลุ่มเปราะบาง

มติของ กนง.ครั้งนี้ไม่ได้มีผลทางบวกหรือลบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก แม้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) จะมีการปรับตัวสูงขึ้นบ้าง แต่ไม่ร้อนแรง เนื่องจากแวดวงตลาดทุนได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว

“ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะประธานสภาตลาดทุนไทย (เฟทโก้) ถึงภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ “เงียบเหงา”  มูลค่าการซื้อขาย หรือ วอลุ่มเทรด ไม่คึกคักเท่าในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งนักลงทุนยังไม่ตอบรับกับมติคงอัตราดอกเบี้ยของ กนง.ในครั้งนี้ ได้คำตอบว่า

“ตลาดหุ้นรับข่าวไปหมดแล้ว สิ่งที่ กนง.แถลงไม่มีอะไรใหม่ และมีการส่งสัญญาณว่าไม่น่าเป็นห่วง แม้จะมีการปรับลดเป้าหมายการเติบโตของ GDP ลงบ้างก็ตาม เพราะปัจจัยหลัก ๆ มาจากต่างประเทศ คือสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ราคาน้ำมันแพง ราคาวัตถุดิบแพง หากไม่มีปัจจัยเหล่านี้ ปีนี้จะถือเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแรงมาก” 

“ไพบูลย์” ยังไม่เปลี่ยนมุมมอง โดยยังมั่นใจว่าทั้งปีนี้ SET Index จะพุ่งทะยานขึ้นไปแตะระดับ 1,800 จุด ได้ตามเป้าหมาย เพราะเชื่อว่าราคาพลังงานแพงจะเป็นเพียงภาวะชั่วคราว เพราะกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน หรือ โอเปก รวมทั้งสหรัฐฯ ยังมีกำลังการผลิตเหลือ และมองว่าสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนไม่น่าจะยืดเยื้อยาวนานออกไปมากกว่านี้ หลังจากที่ยืดเยื้อมาแล้วกว่า 1 เดือน โดยประเมินว่าทั้งรัสเซียและยูเครน ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักจากสงคราม จะต้องหาทางเจรจาสันติภาพเพื่อยุติปัญหาให้ได้ภายในระยะเวลาไม่นาน

“ไพบูลย์” ระบุว่า แม้ปัจจุบันวอลุ่มเทรดจะเบาบาง ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท โดยในบางวันมีมูลค่าซื้อขายเพียง 5-6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าจะเกิดปัญหาวิกฤตพลังงานขึ้นหรือไม่ เพราะไทยถือเป็นผู้นำเข้าพลังงานในสัดส่วนที่สูง แต่ SET Index ก็ยังปรับตัวขึ้นได้ โดยตั้งแต่รัสเซียบุกเข้าโจมตียูเครน เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ถึงปัจจุบัน รวมเวลากว่า 1 เดือน พบว่า SET Index ที่ตกลงไปลึกได้ปรับตัวขึ้นมาใกล้เคียงกับก่อนเกิดสงครามแล้ว และหากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน SET Index ปรับตัวขึ้นได้ 2.46 % (1 ม.ค.-30 มี.ค.) นับว่าดีกว่าตลาดหุ้นอีกหลายแห่ง

รวมทั้งในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติยังเป็นผู้ซื้อสะสมหุ้นไทยถึง 33,138.38 ล้านบาท ท่ามกลางภาวะสงครามดังกล่าว ซึ่งเป็นการซื้อสวนทางนักลงทุนสถาบันในประเทศ หรือ กองทุน ที่มียอดขายสุทธิ 17,564.63 ล้านบาท, พอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 7,168.54 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 8,405.20 ล้านบาท

ขณะที่ตลอด 3 เดือนแรกของปีนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 110,472.92 ล้านบาท, นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 82,046.94 ล้านบาท, นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 29,388.75 ล้านบาท และ  พอร์ตโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 962.77 ล้านบาท   สะท้อนว่านักลงทุนต่างชาติมั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย จึงไม่มีแรงขายเพื่อดึงเงินกลับ

“ไพบูลย์” ประเมินว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน แม้จะมีผู้ติดเชื้อหลัก 2 หมื่นคนต่อวัน แต่ผู้ติดเชื้อมีอาการไม่รุนแรง และมีการประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น ผู้คนต้องใช้ชีวิตร่วมกับโควิดให้ได้ นำไปสู่นโยบายการเปิดเมืองและการเปิดประเทศ ทำให้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยมากขึ้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีขึ้นด้วย

ในฐานะประธานสภาตลาดทุนไทย “ไพบูลย์” ได้สรุปส่งท้ายว่า “แม้การลงทุนระยะสั้นจะมีปัจจัยกดดันที่น่าเป็นห่วงอยู่ แต่การลงทุนระยะยาว ตลาดหุ้นไทยยังเป็นแหล่งการออมเงินที่ดี สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ แต่นักลงทุนควรจะต้องศึกษา ทำการบ้าน ลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐาน และตลาดหุ้นไทยยังนับเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลเฉลี่ยสูงระดับ 3-5 % อีกด้วย”

นี่เป็นการออกมายืนยัน “ความเชื่อมั่น” ของประธานสภาตลาดทุนไทยอีกครั้งหนึ่งว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตชะลอตัวลง แต่ปีนี้ SET Index จะพุ่งขึ้นไปถึงเป้าหมาย 1,800 จุดแน่นอน

Back to top button