พาราสาวะถี

คงจะเรียกว่าพลั้งปากคงไม่ได้ เพราะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็แก้ตัวในประโยคต่อมาว่า ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไม่สนใจในเรื่องของความเหลื่อมล้ำ


คงจะเรียกว่าพลั้งปากคงไม่ได้ เพราะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็แก้ตัวในประโยคต่อมาว่า ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไม่สนใจในเรื่องของความเหลื่อมล้ำ และพยายามไม่ยกระดับรายได้ตรงนี้ให้มากขึ้น การบอกประชาชนผู้มีรายได้น้อย “มีเงินน้อย ก็ต้องเลือกใช้ เลือกกินให้เหมาะสมกับสถานะของเรา” มันสะท้อนจิตใต้สำนึก หรือความรู้สึกนึกคิดของคนเป็นผู้นำได้เป็นอย่างดี มีการแบ่งชั้น วรรณะ เจ้ายศเจ้าอย่าง ทั้งที่ตัวเองป่าวประกาศว่าทุกคนต้องมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

หนนี้ไม่ใช่หนแรก ท่วงทำนองเช่นนี้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้แสดงให้ประชาชนได้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง สรุปแล้วคือ คนจนก็จนต่อไปให้รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว กินใช้กันเท่าที่มี เพราะรัฐบาลนี้มีปัญญาช่วยได้แค่นี้ อย่าเรียกร้องอะไรมาก การอ้างว่ารัฐบาลของตัวเองเจอทั้งปัญหาโควิด-19 เล่นงาน และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยเจอกันมาก่อน ก็สะท้อนให้เห็นกันแล้วว่า คนเป็นผู้นำประเทศนั้นเป็นคนประเภทไหน คนดีชอบแก้ไขคนอะไรชอบแก้ตัว

เช่นเดียวกันกับการอ้างมาตรฐานทางจริยธรรมอันสูงส่ง และการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีของ เสกสกล อัตถาวงศ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี สังเวยคลิปฉาว 15 ล้านบาทนั้น ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะบอกแค่ว่า เป็นการแสดงสปิริตเพื่อที่จะไม่ให้ตนเดือดร้อนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ หากแต่จะต้องเดินหน้าตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อสิ่งที่สังคมสงสัยให้เกิดความกระจ่างชัด

ไม่ได้หยุดที่ว่าลาออกแล้วจบกัน อันถือเป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบแบบมักง่าย อย่าลืมว่าตำแหน่งที่เสกสกลใช้เป็นหัวโขนในการปกป้องผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น แต่งตั้งโดยใคร และมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร รวมไปถึงเก้าอี้ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนด อันเป็นต้นตอของการนำไปสู่การเกิดคลิปฉาวนั้น ล้วนเกิดจากความไว้วางใจที่ท่านผู้นำมอบให้ลิ่วล้อสอพลอรายนี้ไปดำเนินการแทนทั้งสิ้น

ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาจะมาอ้างว่าให้เป็นความรับผิดชอบส่วนตัวไม่ได้ หากในอนาคตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะต้องไปร่วมงานกับเสกสกลที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่สง่างามเป็นอย่างยิ่ง เว้นเสียแต่ว่าจะเลิกสังฆกรรมกันตลอดไปก็ให้ตัดหางปล่อยวัด แล้วก็ทำตัววางเฉย ไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เพราะทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ต่างเข้าใจกันดีแล้วว่าเผด็จการสืบทอดอำนาจคณะนี้อย่างหนาขนาดไหน ไม่ต้องไปถามหาสปิริตหรือความรับผิดชอบใด ๆ

ส่วนเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจโดยตรง ทว่าสร้างแรงกระเพื่อมไปถึงรัฐบาลอย่างเลี่ยงไม่ได้ กับกรณีของ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกเหยื่อลวนลามทางเพศ ดาหน้าพากันไปแจ้งความดำเนินคดี ตรงนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของคนที่กระทำผิดก็จริง แต่มันก็เกี่ยวพันมาถึงพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ และผูกพันมาถึงรัฐบาล เพราะหัวหน้าพรรค จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ดันไปมีตำแหน่งที่สำคัญเกี่ยวกับการสตรีและความเท่าเทียมทางเพศ

จนสุดท้ายต้องตามมาด้วยการที่จุรินทร์จำใจไขก๊อกพ้นตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายสตรีแห่งชาติ ขณะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็จะแต่งตั้ง วิษณุ เครืองาม มาทำหน้าที่ดังกล่าวแทน แต่สิ่งที่สังคมอยากเห็นมากไปกว่านั้นทั้งจากในนามของหัวหน้ารัฐบาลโดยผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของจุรินทร์ จะแสดงจุดยืนต่อการคุกคามทางเพศอย่างไร

หากปล่อยผ่านเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของคนในพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับความเป็นผู้นำประเทศและไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล ก็ถือเป็นการปัดความผิดชอบแบบง่าย ๆ อีกเหมือนกัน ประเด็นเช่นนี้จะต้องมีแอ็คชั่น สั่งการอย่างขึงขังจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดคดีและให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายทุกรายอย่างเต็มที่ อย่างน้อยก็เพื่อแสดงออกว่าไม่มีการปกป้องพวกเดียวกัน ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมตั้งต้น

ส่วนหัวหน้าพรรคเก่าแก่ เรื่องใต้สะดือกับคนของพรรคหลายรายต่างตกเป็นขี้ปากกันมายาวนานแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดที่สวยหรูเพียงอย่างเดียวว่าพรรคต่อต้านการคุกคามทางเพศ ต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก สตรี คนในครอบครัว และการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุความแตกต่างระหว่างเพศ แต่ต้องทำให้เห็นด้วยว่า มีการจัดการกับคนที่ประพฤติชั่วมั่วโลกีย์เหล่านั้นอย่างไร จึงจะทำให้สังคมเชื่อได้ว่า พฤติกรรมของผู้ทรงเกียรติที่กิเลศหนาตัณหาสูงของคนในพรรคจอมหลักการนั้นไม่มีแล้ว

กระนั้นก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคเก่าแก่ก็ยังมีความพยายามโยงเอาไปให้ถึงพรรคก้าวไกลว่ามีส่วนรู้เห็น สมคบคิดเพื่อหวังผลทางการเมือง จน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคต้องออกมายืนยัน พรรคก้าวไกลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ การคุกคามทางเพศถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่ไม่ควรถูกลดทอนให้เป็นเรื่องการเมือง ซึ่งเวลานี้ผู้เสียหายมีจำนวนมาก สังคมควรโฟกัสไปที่ตัวผู้เสียหาย และผู้ที่กระทำความผิด เป็นธรรมดาของพวกที่อยู่ในภาวะเสื่อม ที่จะต้องหาทางเบี่ยงประเด็น สร้างกระแสกลบข่าว และก้าวไกลก็กลายเป็นเครื่องมือป้ายสีเช่นนี้มาตลอด

ถูกต้องแล้วที่พิธายืนยันพรรคก้าวไกลจะไม่ฟ้องกลับกรณีทำให้พรรคเสียหาย เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพในการพูด ซึ่งตนก็มีสิทธิเสรีภาพในการชี้แจงว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง ซึ่งการดึงให้เรื่องนี้เป็นการเมืองก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเป็นนักการเมืองต้องเข้าใจและชี้แจงให้ไว และสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ นี่เป็นความต่างระหว่างนักเลือกตั้งไดโนเสาร์กับคนรุ่นใหม่ เหมือนกรณีเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่บรรดาไอโอหน้าโง่ตั้งหน้าตั้งตาโจมตี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตัวเต็งอันดับหนึ่ง แต่คนที่ถูกกล่าวหาไม่เสียเวลาที่จะตอบโต้ กลับใช้เวลาทุกวินาทีโกยคะแนนเสียงเต็มที่ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่

Back to top button