พาราสาวะถี

ฟังคำแก้ตัวรายวันของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อการแก้ปัญหาข้าวของราคาแพงแล้ว บอกได้คำเดียวว่า “วังเวง”


ฟังคำแก้ตัวรายวันของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อการแก้ปัญหาข้าวของราคาแพงแล้ว บอกได้คำเดียวว่า “วังเวง” นับวันยิ่งแสดงออกให้เห็นถึงการไร้ความสามารถต่อการบริหารสถานการณ์วิกฤตของบ้านเมือง เที่ยวโทษเรื่องความขัดแย้ง อ้างประเด็นปัญหาการเมืองให้นักข่าวเพลาถามปมเหล่านี้ ก็อยากจะถามหน่อยว่าเวลานี้ความขัดแย้งที่ว่านั้น ใช่ระหว่างฝ่ายเห็นต่างกับฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ หรือคือการแตกคอกันเองของฝ่ายกุมอำนาจ

สิ่งที่จะนำไปสู่ทางตันทางการเมืองภายใต้กลไกที่วางไว้เพื่ออยู่ยาว หาใช่เสียงจากฝ่ายเห็นต่าง หรือการขับเคลื่อนของฝ่ายค้านไม่ เนติกรข้างกายผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศไว้ตั้งแต่รวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำได้แล้วว่า การอยู่หรือไปของรัฐบาลเรือเหล็กเป็นเรื่องของสนิมที่จะเกิดจากเนื้อในเท่านั้น เหตุที่มั่นใจเช่นนั้นก็เพราะว่าสิ่งที่วางแผนกันไว้นั้น มันช่วยค้ำยันให้อยู่กันได้นานอยู่แล้ว ถ้าไม่เตะตัดขาหรือสะดุดขาตัวเองล้มคะมำ

วันนี้เห็นได้ชัดว่าความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างหนัก โดยเฉพาะกับแก๊ง 3 ป. ท่าทีที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแสดงออกต่อคำถามของนักข่าวที่ว่ามีการเสนอให้พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อผ่าทางตันของสิ่งที่กำลังเผชิญกันอยู่เวลานี้ ท่านผู้นำทำท่าชี้ไปที่หูเหมือนว่าไม่อยากได้ยินคำถามนี้หรือไม่ได้ยินคำถามนี้ แต่น่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า เพราะการสร้างภาพว่ายังรักกันนั้น มันไม่อาจปกปิดรอยปริแยกที่นานวันมีแต่ถ่างกว้างมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน จะเห็นได้ว่าบรรดาพรรคลูกกะจ๊อกทั้งหลายที่กินกล้วยเป็นอาหารหลักนั้น มองเห็นถึงความสั่นคลอนภายในรัฐบาล การที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เทไม่รับนัดแกนนำพรรคเล็กนั้น ไม่ใช่ไม่ให้ราคาหรือมีปัญหาต่อกัน แต่นี่คือเกมอย่างหนึ่ง อย่าลืมเป็นอันขาดว่าคนพวกนี้ถนัดในการเคาะกะลา เมื่อรู้ว่าใครหรือฝ่ายไหนต้องการเสียงจากพวกตัวเองก็ต้องปั่นกระแส สร้างเรตติ้ง เพื่อเรียกราคา เมื่อทุกอย่างลงตัวคนพวกนี้ก็ถอนตัวกลับที่ตั้งตีมึนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ดังนั้น การที่ถูกเทจากคนหนึ่งแล้วไปนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีจับกังสายตรงของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแล้วบอกว่าไม่มีอะไร ใครหน้าไหนจะเชื่อ คล้อยหลังจากนั้นก็ไปร่วมวงทานข้าวกับซีกฝ่ายค้าน เพื่อส่งสัญญาณว่าในการอภิปรายไม่ไว้วางใจพวกตนไม่ใช่ของตายที่จะหลับหูหลับตายกมือโหวตให้ท่านผู้นำและคนที่ถูกซักฟอก ถ้าฝ่ายค้านมีข้อมูลมากพอก็พร้อมที่จะโหวตให้ ทั้งที่จริงแล้วเรื่องแบบนี้ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน

เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว สิ่งที่แสดงออกกันของบรรดานักเลือกตั้งเสือหิวทั้งหลาย อ่านกันไม่ยาก แค่เกมต่อรองชั้นเลว ขณะที่ฝ่ายค้านไม่ได้เสียหายอะไร มิหนำซ้ำยังได้ยืมมือคนเหล่านั้นมาช่วยเขย่าขวัญสั่นประสาทฝ่ายกุมอำนาจอีกต่างหาก เป็นฝ่ายที่ต้องการอยู่ในอำนาจให้นานต่างหากที่จะต้องออกแรงเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจนเสียหาย ความจริงไม่ได้กลัวเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ แต่กลัวการเสียหน้ามากกว่า

รู้กันอยู่แล้วในแวดวงความสัมพันธ์ของแก๊ง 3 ป.ที่ไม่เหมือนเดิม นับตั้งแต่เกิดการเขี่ย 2 รัฐมนตรีพ้นตำแหน่ง การเดินเกมทางการเมืองของพี่ใหญ่ก็ไม่เกรงใจน้องเล็กอีกต่อไป จะเห็นได้ว่าการปล่อยให้ ธรรมนัส พรหมเผ่า ถูกเฉดหัวออกจากพรรคสืบทอดอำนาจ แล้วยกส.ส.เกือบ 20 เสียงไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย ตามมาด้วยการส่งคนสนิท “บิ๊กน้อย” พลเอกวิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ไปนั่งเป็นหัวหน้าพรรค มันคือการส่งสัญญาณชัดเจนนี่เป็นการสยายปีกทางการเมือง แสดงบารมีให้น้องรักสองคนเห็น

แม้จะยืนยันว่าเสียงส.ส.ของพรรคเศรษฐกิจไทยยังสนับสนุนรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะสนับสนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหรือไม่ ท่วงทำนองของบิ๊กน้อยล่าสุดก็พอจะอ่านกันได้ไม่ยาก นี่เป็นจังหวะก้าวของนักการเมืองแบบเต็มตัว และยิ่งทำให้เห็นการขับเคลื่อนทางการเมืองของพี่ใหญ่อย่างชัดเจน เพราะการที่ธรรมนัสเสนอให้มาตรา 272 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญให้มี “นายกฯ คนนอก” กรณีเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ไม่ใช่ข้อเสนอที่เลื่อนลอยอย่างแน่นอน

สำทับด้วยบทสัมภาษณ์ของบิ๊กน้อยที่ว่า ใครที่เหมาะสมเป็นนายกฯ คนนอกได้ ตนไม่ได้มองใคร มองแค่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เพียงคนเดียว เพราะมีความเหมาะสมที่สามารถจะช่วยประเทศได้ในเวลานี้ เนื่องจากเป็นคนที่ทำงานมาตลอด น่าจะรู้ดีว่าทำอย่างไร คงไม่ใช่ในฐานะคนสนิทเพียงอย่างเดียวจึงเสนอแบบประจบนายแบบนี้ ถ้าย้อนกลับไปยังสิ่งที่เคยนำเสนอก่อนหน้าว่ามีดีลพิเศษเกิดขึ้น สิ่งนี้ก็น่าจะช่วยยืนยันว่าข่าวที่เกิดขึ้นมีมูล

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ถูกรุกไล่ไม่ได้เป็นเป้านิ่งให้เล่นงานฝ่ายเดียว มีการพยายามที่จะตีโต้ เพียงแต่ว่าสถานการณ์มันไม่อยู่ในฐานะฝ่ายที่กุมความได้เปรียบ เราจึงได้เห็นการให้สัมภาษณ์ที่บ่อยขึ้นนานขึ้นของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ โดยสิ่งที่สื่อสารคือปฏิบัติการไอโอเพื่อร้องขอความเห็นใจ และพยายามชี้ให้เห็นว่าตัวเองได้เสียสละ พยายามทำทุกอย่างแล้ว แต่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทั้งโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครนเกิดขึ้น จึงทำให้ไม่สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น

ทั้งที่ความจริงระยะเวลาของการอยู่ในตำแหน่งเมื่อเทียบกับสิ่งที่เผชิญช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น หากทำงานเป็นและมีความสามารถในการบริหาร ยามวิกฤตเช่นนี้คงจะไม่บักโกรกและเลวร้ายลงต่อเนื่องอย่างที่เผชิญอยู่ ยิ่งพูดถึงเสถียรภาพและแรงเสียดทานต่าง ๆ แล้ว ช่วงเวลาเกือบ 5 ปีที่อยู่ในอำนาจเผด็จการนั้นถือว่าทุกอย่างสงบเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่คิดว่าความสงบเงียบดังกล่าวนั้นจะรวมไปถึงความสงบนิ่งและถดถอยของเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชนด้วย รู้อยู่แก่ใจดีว่าปัญหาที่เป็นอยู่ไม่ควรเที่ยวโทษปี่โทษกลอง ต้องตักน้ำใส่กะโหลกแล้วโทษตัวเองเสียบ้าง

Back to top button