พาราสาวะถี

ถือเป็นปรากฏการณ์สะท้อนภาพความอัดอั้นของคนกรุงเทพฯ ที่อำนาจของตัวเองถูกยึดไปไว้ในมือของเผด็จการจนไม่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.นานกว่า 9 ปี


ถือเป็นปรากฏการณ์สะท้อนภาพความอัดอั้นของคนกรุงเทพฯ ที่อำนาจของตัวเองถูกยึดไปไว้ในมือของเผด็จการคสช.จนไม่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มานานกว่า 9 ปี เราจึงได้เห็นภาพคนทุกเพศ ทุกวัย ที่มีสิทธิพากันแห่แหนไปลงคะแนนแม้ว่าในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ที่ผ่านมาฝนจะตกหนักแทบทุกพื้นที่ก็ตาม ทีนี้ก็อยู่ที่ผลของการเลือกตั้งคนเมืองหลวงจะได้ใครมาดูแล ที่คนส่วนใหญ่จับตาคือจะเป็น “ตัวแทนของเผด็จการสืบทอดอำนาจ” หรือตัวเต็งและผู้ชนะในทุกโพลอย่าง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่เข้าวิน

ไม่ว่าใครจะเป็นผู้กำชัยชนะก็ตาม อย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นกันแล้วและเป็นบทพิสูจน์ว่าวาจาของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ว่าไม่ถือหางใคร วางตัวเป็นกลางทางการเมืองนั้นเป็นจริงหรือไม่ หลังจากวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็อาศัยเหตุการณ์ฝนตกหนักลักไก่ลงพื้นที่ไปตรวจน้ำท่วมย่านบางเขน พร้อมแอ็คชั่นสั่งให้กระทรวงมหาดไทยเป็นแม่งานหลักในการแก้ปัญหา ทั้งที่อยู่มากว่า 8 ปีไม่เคยมีภาพแบบนี้ มันชัดเสียยิ่งกว่าชัดว่าหวังผลอะไร

ขณะเดียวกันการบริหารจัดการทุกเรื่องในกทม.นั้น หากไม่ใช่คนที่คิดว่าตัวเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบเผด็จการ ย่อมเข้าใจดีว่าการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่ผู้ซึ่งจะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม. เพราะมีงบประมาณที่จัดเก็บและบริหารเองหลายหมื่นหลายบาท ส่วนงบสนับสนุนจากรัฐบาลนั้นเป็นเพียงส่วนน้อย มิเช่นนั้น ที่ผ่านมาคงไม่เกิดภาพคนกรุงเทพฯ พากันลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้าน แม้ว่าฝั่งรัฐบาลจะส่งคนดีมีความสามารถอย่างไรมาให้เลือกก็ตาม

นั่นเป็นเพราะคนเมืองหลวงเข้าใจบทบาทหน้าที่ของกทม.ที่เป็นองค์กรปกครองลักษณะพิเศษตามกฎหมายที่ตราขึ้นมาตั้งแต่ปี 2528 เชื่อว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็เข้าใจจุดนี้ดี เพราะมีเนติบริกรชั้นเลิศให้คำแนะนำตลอดเวลา เพียงแต่ว่าที่ต้องแสดงอย่างออกนอกหน้าเนื่องจากสนามเลือกตั้งหนนี้ถ้าอีกฝ่ายคว้าชัยชนะมันก็เหมือนเป็นตบหน้าและประจานว่า เผด็จการสืบทอดอำนาจนั้นหมดความนิยม ศรัทธาเสื่อมทรุดจนถึงเวลาที่จะต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านกันได้แล้ว

เป็นแค่พิธีกรรมเท่านั้นสำหรับการประชุมศบค.เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กับการอนุมัติให้ผับ บาร์ คาราโอเกะ สามารถเปิดได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป โดยมีเงื่อนไขตามขั้นตอน ทั้งที่ความจริงหากลองไปสแกนดูก่อนหน้านั้นก็จะพบว่ามีการเปิดให้บริการกันอยู่แล้ว ด้วยการอ้างว่าแปรสภาพเป็นร้านอาหาร แต่มีการเล่นดนตรี กิจกรรมรื่นเริง หลายพื้นที่เปิดกันถึงตีหนึ่งตีสอง เรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็เลี่ยงบาลีกันสารพัด ทั้งหมดมันไม่ได้อยู่ที่มาตรการเข้มงวดของศบค. แต่ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่ไหนจริงจังในการบังคับใช้กฎหมายมากกว่ากัน

เข้าใจได้สำหรับคนทำมาหากิน โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพคนกลางคืน หากไม่หลิ่วตาข้างบรรดาสารพัดม็อบความเดือดร้อนก็บุกทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือถึงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกันอุตลุดไปแล้ว เอาเป็นว่า 1 มิถุนายนถือเป็นการเริ่มต้นสำหรับธุรกิจผับ บาร์ คาราโอเกะอย่างเป็นทางการก็แค่นั้น ส่วนกิจการที่ได้รับการผ่อนคลายด้วยคือ อาบ อบ นวด ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าตลกและไม่รู้ว่าในทางปฏิบัติจะทำกันได้จริงหรือไม่ ที่ผู้ใช้บริการและให้บริการประเภทนี้จะต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาด้วย

ส่วนการผ่อนคลายต่าง ๆ ทั้งเรื่องของการเลิกการกักตัวสำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกรณีผู้ติดเชื้อหรือป่วยโควิด โดยให้เป็นการสังเกตอาการ 10 วันพร้อมตรวจหาเชื้อทันทีที่พบว่ามีอาการน่าสงสัย รวมไปถึงการปรับพื้นที่สี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเศรษฐกิจ ปากท้องและคลายความกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและรัฐบาล เช่นเดียวกับการที่ให้เปิดเรียนแบบออนไซต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เพื่อเป้าหมายที่จะทำให้โควิด-19 เข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นให้ได้ภายในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้

โอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นคงอยู่แค่เอื้อม หากไม่มีสายพันธุ์ใหม่มาเขย่าขวัญ ล่าสุด นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พูดไปถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการยกเลิกการบังคับให้ใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสถานการณ์หลังจากที่มีการประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว ตัวเลขต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงก็จะปลดล็อกตรงนั้นได้ แต่ผ่านมาถึงตรงนี้เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มชินกับการต้องใส่หน้ากากออกจากบ้านกันแล้ว

เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถึงกับสะบัดหน้าหนีและส่ายหัวเมื่อถูกนักข่าวจี้ถามเรื่องงบประมาณที่ใช้ในการจัดงานถามมาตอบไปจำนวน 30 ล้านบาทเหมือนเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือไม่ ไม่ต้องสงสัยว่าหงุดหงิด อารมณ์เสียหรือเปล่า แต่คงไม่ต้องไปถามถึงความรับผิดชอบว่าควรหรือไม่กับเงินที่ใช้ไปเพื่องานนี้ เมื่อทุกอย่างอ้างว่าเป็นเรื่องเอกชนจ่าย แล้วรัฐบาลได้หน้าจะไปกลัวอะไรกับข้อครหา อย่างหนามากว่า 8 ปีแล้วจะต้องไปแยแสอะไร

การเมืองระดับชาติเป็นอีกหนึ่งภาพที่การันตีสิ่งที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ยกตัวเลข 260 เสียงสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพให้กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ใช่การยกเมฆ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาในการจัดประชุมพรรคภูมิใจไทยสัญจรที่ศรีสะเกษ ปรากฏว่ามี 3 ส.ส.ศรีสะเกษของพรรคเพื่อไทยมาร่วมงานคือ ธีระ ไตรสรณกุล ผ่องศรี แซ่จึง และ จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ โดยรายของผ่องศรีนั้นสามีคือปวีณ ประกาศตัวชัดเจนว่าเปลี่ยนสีเสื้ออย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลของบได้ แต่อยู่กับเพื่อไทย 20 ปี ทักษิณ ชินวัตร เห็นส.ส.เป็นแค่เบ๊

บอกแล้วว่าพรรคนี้เนื้อหอม ยิ่งบรรดาส.ส.อีสานต่างพรรคยังมีพวกที่รอการตัดสินใจอีกจำนวนหนึ่ง ขณะที่พื้นที่ศรีสะเกษนั้นมีความพยายามที่จะดึงตัวกันมานานแล้ว ไม่ต้องบอกว่าทำไมรอบนี้จึงตัดสินใจกันได้ง่ายและเปิดตัวกันตั้งแต่ไก่โห่ ทั้งที่พรรคนายใหญ่ประกาศจะได้ส.ส.แบบแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ใช่แค่เรื่องงบประมาณที่ขอแล้วได้เท่านั้น ทางการเมืองก็รู้ดีว่านักเลือกตั้งประเภทเขี้ยวลากดินถ้าไม่ใจถึงและถึงใจจริง ไม่มีทางที่จะยอมแปรพักตร์กันง่าย ๆ เห็นภาพอย่างนี้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคงอุ่นใจในการซักฟอกที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ต้องเข้าใจและทำใจให้ได้ว่าการเมืองทุกอย่างย่อมมีต้นทุน

Back to top button