พาราสาวะถี

เป็นธรรมดาของการเมืองยิ่งเกิดปรากฏการณ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยิ่งเป็นสัญญาณให้พรรคการเมืองทั้งหลายต้องปรับกลยุทธ์กันยกใหญ่


ในเมื่อมั่นใจว่าสถานการณ์โควิด-19 จะเป็นเหมือนโรคไข้หวัดใหญ่หรือไข้หวัดทั่วไป อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะที่กุมบังเหียนกระทรวงคุณหมอ และดูแลหมอการเมืองทั้งหลาย ก็สั่งการไปให้ชัด เอาให้ชัดปมถอดไม่ถอดหน้ากากในที่สาธารณะ การยักแย่ยักยันด้วยท่วงทำนองที่ว่าใส่กันไว้ก่อนก็ดีจะช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจอย่างอื่นได้ด้วย หรือคนไทยใส่หน้ากากกันจนชินแล้วไม่ต้องรีบร้อน มันเหมือนการตีกรรเชียงเลี่ยงบาลี และทำให้คนไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วโควิดมันจะเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นได้จริงไหม

หากเห็นว่าทุกอย่างวางใจได้ การระบาดไม่รุนแรง ตัวเลขเป้าหมายต่าง ๆ ไม่ได้เลวร้ายกว่าที่คิด และเชื่อว่าศักยภาพของบุคลากรและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเอาอยู่ ต้องกล้าที่จะตัดสินใจ ไม่ใช่ปล่อยให้นักข่าวไล่ถามกันเป็นรายวันแล้วมาคอยตอบกันแบบอึกอัก ประกาศไปเลยจากนี้ไปพื้นที่สีไหนไม่ต้องใส่หน้ากากกันแล้ว ส่วนคนที่ยังเป็นกังวลก็ให้ใส่ได้ตามความสมัครใจ ไม่ใช่อมพะนำยึกยักกันอยู่แบบนี้ ที่อ้างว่าการคลายมาตรการเกือบปกติจะช่วยสร้างความมั่นใจต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว มันจะได้เดินหน้ากันเต็มที่เสียที

นาทีนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องความกลัวของภาคประชาชน คนส่วนใหญ่เข้าใจวิธีการที่จะป้องกันตัวเองอยู่แล้ว การฉีดวัคซีนที่มากขึ้น และจำนวนผู้ป่วยที่ทะยานขึ้นต่อเนื่องก่อนหน้านับตั้งแต่โอมิครอนระบาด มันก็เหมือนเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ไปในตัว คนจึงกล้าที่จะออกมาใช้ชีวิตกันเกือบปกติมากขึ้นแต่ด้วยความระมัดระวัง ทีนี้ก็อยู่ที่มาตรการของภาครัฐจะบริหารจัดการอย่างไร ถ้าเชื่อว่าจะไม่มีการกลายพันธุ์กันอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้ ก็ไม่เห็นว่าจะต้องกังวลอะไร เว้นเสียแต่พูดความจริงไม่หมด ซึ่งไม่น่าจะมี

ประเดิมวันแรกกันไปเรียบร้อยกับการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ท่วงทำนองของฝ่ายค้านก็อย่างที่เห็น เป็นกลเกมการเมืองที่บังคับให้จะต้องเดินแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าตีตรงจุดไม่ใช่เรื่องความถูกใจของประชาชน แต่เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ย่อมมีเสียงสนับสนุนและได้รับการสรรเสริญ หากต้องการจะเอามันและกำลังมองว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ในภาวะขาลงต้องถล่มกันให้ยับแบบไม่ต้องใช้เหตุผล แบบนี้คนจะเบื่อ

ส่วนซีกรัฐบาลผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจชี้แจงตามสคริปต์ ที่น่าสนใจคือ ประเด็นหนี้สาธารณะตัวเลขสิ้นสุดเดือน มีนาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ 9.95 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.6 ของจีดีพีก็ถือว่าอยู่ในกรอบการก่อหนี้ตามที่ได้มีการขยายเพดานไปอยู่ที่ร้อยละ 70 และมีผลบังคับใช้เมื่อเดือน กันยายนปีที่ผ่านมา กรณีหนี้สาธารณะถ้าวัดจากตัวเลขและความจำเป็นในการบริหารจัดการช่วงวิกฤตจากโควิดและอื่น ๆ ก็ถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเกือบทุกประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะต้องจับตาเมื่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยอมรับว่า หนี้สาธารณะที่เป็นข้อผูกพันของรัฐบาล ซึ่งเกิดจากการกู้ยืมเงินโดยตรงและการค้ำประกันเงินกู้โดยรัฐบาล จึงอยู่ที่แผนการใช้เงิน และการบริหารจัดการหนี้สาธารณะของรัฐบาล เพราะดูจากสถานการณ์ที่เผชิญอยู่เวลานี้ แนวโน้มจะเห็นว่ารัฐบาลจะต้องก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมากอย่างแน่นอน โดยที่ทีมเศรษฐกิจก็แอบหวังว่าการผ่อนคลายมาตรการที่ทำอยู่ จะทำให้มีเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาหลังจากนี้

สิ่งที่น่าสนใจต่อเนื่องหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายกฎหมายงบประมาณในวาระแรกไปแล้ว คือ ทิศทางทางการเมืองของพรรคที่จะสนับสนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในการเลือกตั้งครั้งหน้า หลังเกิดปัญหาของพรรคเศรษฐกิจไทย ก็ส่งผลสะเทือนกันไปทุกหย่อมหญ้า ประกอบกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการเลือกตั้ง ส.ก.ของพรรคสืบทอดอำนาจ ทำให้เกิดคำถามในหมู่คนที่ถือหางว่าพรรคแกนนำรัฐบาลจะสามารถกลับมาได้อีกหรือไม่ ถ้ายังชูแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนเดิมก็น่าจะหมดอนาคต

เป็นโจทย์ที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.คิดอ่านแก้กันมานานนับปีแล้ว จึงมีปมเรื่องชื่อแคนดิเดตนายกฯ สำรองแทนที่จะเสนอชื่อน้องเล็กของแก๊งเพียงคนเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ยังประสงค์จะเดินบนเส้นทางทางการเมืองที่ตัวเองและองคาพยพวางแผนอยู่ยาวไว้ จึงต้องมองหาพรรคที่จะการันตีการเสนอชื่อตัวเองแต่เพียงผู้เดียว และมีความเป็นไปได้ที่จะต้องมี ส.ส.เกินร้อยละ 5 หรือมากพอที่จะไปกวาดต้อนนักเลือกตั้งเพื่อมารวมกับ 250 เสียงของ ส.ว.ลากตั้งในการโหวตให้ตัวเองกลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกหน

พรรคที่มีอยู่ดูเหมือนว่าจะไม่สนองตอบความต้องการของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ บางพรรคแม้จะแสดงตัวชัดว่าหนุนท่านผู้นำล้านเปอร์เซ็นต์ แต่มองไม่เห็นอนาคตว่าจะได้เก้าอี้ ส.ส.มาเพื่อสืบทอดความต้องการของคนจะอยู่ยาวได้ ดังนั้น สิ่งที่คอการเมืองจะต้องเกาะติดตามกันอย่างใกล้ชิด คือ ความเคลื่อนไหวของพรรครวมไทยสร้างชาติ จากที่เคยฝ่อไปเพราะปัญหาส่วนตัวของ เสกสกล อัตถาวงศ์ แต่หลังจากเจ้าตัวได้ถอยตัวเองออกไป เวลานี้พรรคดังว่ากำลังแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อให้ดูดีที่สุดพร้อมจะเปิดโฉมในเร็ว ๆ นี้

โดยคนที่จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่รับประทานแห้วจนต้องไขก๊อกมาจากพรรคสืบทอดอำนาจนั่นเอง ถือเป็นคนที่ไม่ขี้เหร่และได้รับความไว้วางใจจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นอย่างดี หลังจากนี้เมื่อทำการเซ็ตทุกอย่างจนเป็นที่แน่ใจแล้วว่าจะไม่เกิดเสียงยี้ตามมา ก็จะทำการจัดประชุมเปิดตัวทีมบริหาร เมื่อได้จังหวะอันสมควรบรรดา ส.ส.และรัฐมนตรีสายตรงจากพรรคสืบทอดอำนาจก็จะเข้ามาร่วมก๊วนกันพร้อมหน้า

เป็นธรรมดาของการเมืองยิ่งเกิดปรากฏการณ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยิ่งเป็นสัญญาณให้พรรคการเมืองทั้งหลายต้องปรับกลยุทธ์กันยกใหญ่ บางพรรคการเมืองที่คิดว่าอยู่กับเผด็จการสืบทอดอำนาจ กักตุนกระสุนแล้วไปยิงแบบหวังผลในการเลือกตั้งครั้งหน้า พอเห็นสิ่งที่คนกรุงเทพฯ แสดงออกผ่านการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แล้ว ทำให้ต้องคิดกันใหม่ อาจถึงขั้นต้องเปลี่ยนหัวขบวนกันเลยทีเดียว ส่วนประเด็น กกต.ลีลาที่จะรับรองชัชชาติก็อยากให้ฟังสิ่งที่ด็อกแต๋วแสดงความเห็น “เขาชนะแล้วอย่าแสดงความพยายามให้เขาแพ้ฟาวล์เลย มันจะกลายเป็นขี้แพ้ชวนตี” ทำแบบนี้มีแต่พวกอย่างหนาเรียกพี่เท่านั้นที่ทำได้

Back to top button