ฝรั่งเหลือของ 1.20 แสนล้าน

ในที่สุดเดี๊ยนต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า แนวรับสำคัญที่แข็ง ๆ แน่ ๆ ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับแรงขายฝรั่งที่พรั่งพรูออกมาเป็นจำนวนมาก


*ในที่สุดเดี๊ยนต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า แนวรับสำคัญที่แข็ง ๆ แน่ ๆ ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับแรงขายฝรั่งที่พรั่งพรูออกมาเป็นจำนวนมาก จนแนวรับแรกที่บริเวณ 1,600 จุดถูกบดขยี้ในพริบตา ขณะเดียวกันก็ทำให้แนวรับถัดมาที่บริเวณ 1,580 จุดถูกทลายลงอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นภาพที่ชี้ชัดว่า ฝรั่งต้องการถอนตัวจากตลาดหุ้นไทย เพราะมองไม่เห็นความคุ้มค่ากับการลงทุนในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นน่ะซี

*ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ไม่เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้ในเร็ววัน เพราะลำพังของในมือฝรั่งที่มีจำนวนมากถึง 1.20 แสนล้าน ก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยไปไม่เป็นอยู่แล้ว เดี๊ยนถึงมองสถานการณ์ต่อจากนี้อาจมีเรื่องน่าหนักใจเกิดขึ้นเป็นระลอก โดยหุ้นบลูชิพจะตกเป็นเป้าหมายถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง รองลงมาเป็นหุ้นคริปโตซึ่งจะถูกเล่นงานด้วยความเสื่อมศรัทธาไงล่ะคะ

*ด้วยเหตุนี้ถึงเชื่อได้ทันทีว่า การยืนปิดที่ระดับ 1,559.39 จุด ลบไป 1.71 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.01 แสนล้านบาท ยังไม่ใช่จุดต่ำสุดของการลงเที่ยวนี้อย่างแน่นอน ผนวกกับทุกคนได้เห็นอาการที่ดัชนีหลุดลงไปถึง 1,545 จุด น่าจะเป็นเครื่องย้ำเตือนสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยยังล่อแหลม จึงไม่ควรชะล่าใจเมื่อเห็นดัชนีตีกลับขึ้นมาปิดบวกอีกครั้ง เพราะในทางทฤษฎีเขาเรียกอาการนี้ว่า “รีบาวด์เพื่อลงต่อ” นะจะบอกให้

*หมดสภาพในเวลาอันรวดเร็ว “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นโรงกลั่นน้ำมัน TOP เนื่องจาก 8 วันก่อนเพิ่งทะยานขึ้นไปทำไฮที่ระดับ 62 บาท แต่ล่าสุดกลับยืนปิดที่ระดับ 49.50 บาท ลบไป 3.75 บาท หรือลงไป 7.04% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.20 พันล้านบาท มันเป็นสภาพที่ทำให้ทุกคนเซ็งเป็ดไปตามกัน เพราะไทม์ไลน์ของหุ้นมาดีสุด ๆ แต่สุดท้ายก็ล้มคว่ำหัวคะมำจากปัจจัยเหนือการควบคุมแบบนี้..เหนื่อยแทนเลยจ้า!

*คล้ายกับอาการชีช้ำกะหล่ำแฉะที่เกิดขึ้นกับหุ้น IRPC ทุกประการ เพราะแรงขายที่พรั่งพรูออกมาตลอดเวลา จนราคาหุ้นตั้งลำไม่ได้สักทีนั้น! มันเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจสุด ๆ ในมุมของการทำธุรกิจ แถมมาเจออำนาจมืดคอยแทงอยู่ข้างหลัง “โมนิก้า” ถึงสงสัยว่า การยืนปิดที่ระดับ 3.10 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 6.06% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.24 พันล้านบาท ท่ามกลางค่า PE 6 เท่า อาจไม่ใช่จุดของการช้อนหุ้นอ๊ะป่าว?

*ส่วนรายที่อยู่ในทิศทางขาลงแบบสุด ๆ และมองไม่เห็นจุดตีกลับในเร็ววัน “โมนิก้า” คงมองไปยังหุ้น JTS ที่ทุ่มทุนสุดตัวในการทำเหมืองขุดบิตคอยน์ แต่เผอิญราคาบิตคอยน์ร่วงลงเละเทะเป็นเวลานาน ราคาหุ้นถึงทรุดจากที่ทำไฮไว้บริเวณ 594 บาท ลงมาอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดยืนปิดที่ระดับ 148.50 บาท ลบไป 46.50 บาท หรือลงไป 23.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 409 ล้านบาท ท่ามกลางค่า PE 448 เท่า และมีบุ๊กแวลูอยู่ที่ระดับ 1 บาทแบบนี้..ลงยาวเลยค่ะ

*สำหรับรายที่เด้งสู้อย่าง BGRIM ถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจในแง่ของการลงทุนระยะยาว เพราะการขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 34.25 บาท บวกไป 1.25 บาท หรือขึ้นไป 3.79% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 930 ล้านบาท น่าจะสื่อให้เห็นแรงขายเบาบาง และกำลังถูกแทนที่ด้วยแรงซื้อ จึงกลายเป็นช็อตที่น่าตามไปดูเหลือเกิน “โมนิก้า” จึงอยากให้แฟนคลับลองกลับไปคิดเป็นการบ้านดูสักนิดหนึ่ง เพื่อเป็นทางเลือกในช่วงตลาดหุ้นย่ำแย่นะคะ

*ส่วนรายที่เลิกเกมกันไปดื้อ ๆ อย่างหุ้น MORE ถือเป็นอุทาหรณ์ที่ทำให้แมงเม่าต้องพึงระวังไว้มาก ๆ เพราะการรูดลงจากราคาสูงสุดของวันที่ระดับ 2.06 บาท จนสุดท้ายพักฐานมาปิดที่ระดับ 1.95 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.50 พันล้านบาท เหมือนเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าวงเล่นใกล้จบรอบเป็นที่เรียบร้อย และตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเซตงานเพื่อร่วมตั้งวงรอบใหม่นะจะบอกให้

*ป.ล. หากไล่เรียงเรื่องราวที่ “โมนิก้า” เม้าท์ให้ฟังตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นว่า “ช้อนแล้วขาย” ต่อจากนั้น “ตั้งลำสู้” และ “เด้งแล้วทุบ” ล้วนเป็นเรื่องราวที่พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่ฝรั่งถอนตัว ก็ไม่มีใครต้านทานไหว! และทำให้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยเละตุ้มเป๊ะ เดี๊ยนจึงอยากเตือนสติแฟนคลับอีกครั้งว่า เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ สงครามก็ยุ่งเหยิง เงินบาทก็อ่อนยวบยาบ..หุ้นไทยจะขึ้นได้เหรอ!

Back to top button