พาราสาวะถี

พิสูจน์และยืนยันได้ว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่ว่าจะกี่เข็มก็สามารถติดเชื้อได้ จากการที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว 6 เข็มก็ยังติดโควิด โดยที่หมอได้ให้พักรักษาตัวที่บ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์ พร้อมจ่ายยาโมลนูพิราเวียร์ให้รับประทาน อย่างไรก็ตาม นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตร ปลัดสาธารณสุขยืนยันฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือบูสเตอร์โดส สามารถป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิตจากโควิดได้


พิสูจน์และยืนยันได้ว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่ว่าจะกี่เข็มก็สามารถติดเชื้อได้ จากการที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว 6 เข็มก็ยังติดโควิด โดยที่หมอได้ให้พักรักษาตัวที่บ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์ พร้อมจ่ายยาโมลนูพิราเวียร์ให้รับประทาน อย่างไรก็ตาม นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตร ปลัดสาธารณสุขยืนยันฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือบูสเตอร์โดส สามารถป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิตจากโควิดได้

คำถามที่ตามมาหลังจากเสี่ยหนูที่ฉีดวัคซีนถึง 6 เข็มแล้วติดโควิด มันจะกระทบต่อการรณรงค์และเร่งให้มีการฉีดวัคซีนตั้งแต่เข็มที่ 3 ขึ้นไปของกระทรวงคุณหมอหรือไม่ เพราะจนถึงขณะนี้พบว่าบูสเตอร์โดสที่เป็นเข็มสำคัญต่อการทำให้ประชาชนในประเทศปลอดภัยนั้น ฉีดกันไปได้เพียง 42.5 เปอร์เซ็นต์ ห่างไกลจากเป้าหมายที่มีการตั้งกันไว้ 60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ชวนทำให้มองกันไปถึงการที่จะทำให้ประเทศไทยนำโควิด-19 เข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นมีความเป็นไปได้หรือไม่

เท่าที่ฟังปลัดกระทรวงสาธารณสุขแจกแจงวันก่อน เรื่องของการเป็นโรคประจำถิ่นคงไม่เกิดขึ้นแล้ว แต่ประเทศไทยจะกลายเป็นการเข้าสู่ระยะหลังการระบาดใหญ่ หรือ Post-Pandemic โดยที่เวลานี้มีปัจจัยที่เฝ้าจับตามองกันก็คือ กรณีที่มีสายพันธุ์ใหม่ของโอมิครอนอย่าง BA.4 และ BA.5 ต้องรอพิจารณาว่าผลของการระบาดและความรุนแรงจะเป็นอย่างไร ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ เมื่อถึงจุดนั้นคงจะได้เห็นท่าทีที่ชัดเจนของฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าจะกำหนดทิศทางของโควิดในบ้านเรากันอย่างไร

บอกไปก่อนหน้าว่าด้วยท่าทีของบรรดา ส.ว.ลากตั้งทั้งหลาย มีการเปลี่ยนแปลงกันแบบน่ากังขา ล่าสุด เป็นคิวของ เสรี สุวรรณภานนท์ ที่อภิปรายในการประชุมวุฒิสภาถึงแผนการปฏิรูปด้านการเมือง ด้วยชุดความคิดและข้อเสนอว่า หลังจาก ส.ว.ชุดนี้พ้นหน้าที่ไปแล้วควรที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลที่ว่ากฎหมายสูงสุดของประเทศคือต้นตอของความขัดแย้ง ซึ่งมันน่าแปลกว่าแล้วทำไมก่อนหน้านี้ที่มีการเสนอให้แก้ไขกันทั้งฉบับบรรดาผู้ทรงเกียรติในสภาสูงถึงพากันล้มร่างแก้ไขทั้งหมด

มันมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกเหนือจากว่า ยังมีพวกลากตั้งจำนวนไม่น้อยที่มีความต้องการจะได้รับอานิสงส์จากการแก้ไข เพื่อปลดล็อกให้ตัวเองสามารถเข้าไปมีบทบาทในสภาหรืออำนาจทางการเมือง ยิ่งได้ฟังคำอธิบายยิ่งชวนให้หัวร่อในความเจ้าเล่ห์ของนักกฎหมายพวกนี้ได้เป็นอย่างดี ช่วงเวลา 5 ปีที่ ส.ว.ชุดนี้ต้องทำหน้าที่มีภารกิจสำคัญหลายเรื่อง รวมทั้งตั้งรัฐบาล แต่ในช่วงระยะเวลา 5 ปีนั้น ต้องมีคนไม่พอใจ และนี่คือความขัดแย้ง

ตนก็พยายามติดตามเรื่องนี้ และพยายามมองว่า “มันน่าจะถึงเวลาที่จะมีการทบทวนดูรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ” ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายที่จะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น ถ้าไม่ใช่พวกลิ้นสองแฉกจริงจะพูดแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโยนปัญหาความขัดแย้งว่าเกิดจากนักการเมืองพยายามแบ่งฝ่ายประชาชน แล้วให้ประชาชนเผชิญหน้าต่อสู้กันเอง ทั้งที่ความจริงคนอย่างเสรีน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีใครกันแน่ที่ทำให้ความขัดแย้งยังดำเนินต่อไปและได้ประโยชน์จากความขัดแย้ง

การเคลื่อนไหวในลักษณะเหมือนจะสำเหนียกของ ส.ว.ลากตั้งนั้น คงสัมผัสได้จากปรากฏการณ์ชัชชาติ เมื่อผู้ว่าฯ กทม.ประกาศความเป็นอิสระและทำงานภายใต้การประสานกับทุกฝ่าย พบว่าคะแนนนิยมมีแต่ดีดตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ได้รับคำชมไปทั่วสารทิศ สวนทางกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและองคาพยพทั้งหลาย ที่พบว่ามีแต่สาละวันเตี้ยลง นั่นเป็นเพราะกว่า 8 ปีที่ผ่านมาการได้รับโอกาสโดยปราศจากแรงกดดันใด ๆ แม้แต่ม็อบยังทำให้ระคายผิวไม่ได้ ก็ยังไม่มีปัญญาที่จะสร้างผลงานให้ประชาชนชื่นชมได้

ไม่เพียงแต่คนชื่อ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เท่านั้น ที่เข้ามาทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหนักใจ จนต้องระดมสมองและสรรพกำลังเพื่อที่จะพลิกเกมหวังกลับมาได้รับความนิยมจากประชาชนอีกครั้ง หากแต่การที่พรรคเพื่อไทยมี “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จนกระทั่งมองกันไปไกลถึงความเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยมีโพลประเดิมเรียกแขกอย่างนิด้าโพลมาช่วยกระตุ้น ยิ่งทำให้ฝ่ายสนับสนุนนั่งกันไม่ติด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกอุปโลกน์ระบอบทักษิณ และยังคงใช้ผีทักษิณมาคอยหลอก (ลวง) พวกกองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตา ต่างก็พากันกล่าวหาโจมตีลูกสาวทักษิณต่าง ๆ นานา แม้กระทั่งปลุกผีรัฐประหารก็ขุดเอามา จากปากของ วันชัย สอนศิริ ส.ว.ลากตั้งที่อ้างว่า แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยควรเป็น นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคไม่ใช่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมการตบท้ายว่าถ้าจะมีปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นมาอีก ก็แบ่งให้คนในครอบครัวอื่นเขาโดนเสียบ้าง อย่าเหมาเอาแต่ครอบครัวของตัวเอง

ต้องบอกว่าคงเส้นคงวาในการเกลียดทักษิณและครอบครัวชินวัตรจริง ๆ สำหรับเครือข่ายเผด็จการสืบทอดอำนาจ เรื่องนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย จึงตอกกลับวันชัยแบบนิ่ม ๆ กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยยังไม่มีมติเสนอชื่อว่าที่นายกฯ และถ้าเสนอชื่อหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยจริง ก็ถือเป็นกระบวนการภายในของพรรค ตามกติกาที่มีอยู่ คนอย่างวันชัยมีตำแหน่งโดยประวิตรเลือกให้ประยุทธ์ตั้ง เลยทึกทักเอาว่าเพื่อไทยจะตั้งใครเป็นนายกฯ ก็ได้  ทั้งที่ นายกฯ ทุกคนของพรรคมาจากการเลือกตั้งของประชาชน

เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยคงคิดอย่างที่ณัฐวุฒิมอง เรื่องที่น่ากังวลที่สุดคือบ้านเมืองมีอันเป็นไปประชาชนพินาศถล่มทลายมาแล้ว 8 ปี เลิกนิสัยการพูดคำว่ารัฐประหารให้ดูเป็นเรื่องปกติทางการเมือง ฝึกจิตใจให้เคารพประชาชน การวิพากษ์วิจารณ์ทำได้ แต่ไม่ใช่เอาวิถีเผด็จการมาพูด พรรคคัดสรรว่าที่นายกฯ แต่จะเป็นได้ต้องให้ประชาชนเลือก ถ้าเพื่อไทยแลนด์สไลด์หมายถึงประชาชนเชื่อมั่นนโยบาย ฝากความหวังให้มาแก้ปัญหา และไม่เอาประยุทธ์ชัด ๆ แบบนี้วันชัยคงเข้าใจ ซึ่งคงต้องสะกิดณัฐวุฒิด้วยเหมือนกันว่านอกจากวันชัยจะไม่เข้าใจ พวกมืดบอดใต้อุ้งตีนเผด็จการก็ไม่เข้าใจ และยังชื่นชมผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อไป

Back to top button