พาราสาวะถี

ไม่มีใครเถียงโฆษกรัฐบาลเรื่องที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ คนเป็นผู้นำประเทศจะไปไหน เมื่อไหร่ ก็สุดแท้แต่ใจปรารถนา เพียงแต่ว่าการไปนั้นอย่าเกณฑ์คนมารับ แล้วกะเกณฑ์ให้พูดตามสคริปต์มันไม่ธรรมชาติ ที่สำคัญคือการระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งจังหวัดเพื่อมาดูแลความปลอดภัย ในฐานะจังหวัดท่องเที่ยว ควรที่จะใช้กำลังพลเหล่านั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่าที่จะต้องมาเสียเวลาทั้งวันเพื่อการได้ไปพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากระบาย แล้วก็เปิดตูดกลับมาโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


ไม่มีใครเถียงโฆษกรัฐบาลเรื่องที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ คนเป็นผู้นำประเทศจะไปไหน เมื่อไหร่ ก็สุดแท้แต่ใจปรารถนา เพียงแต่ว่าการไปนั้นอย่าเกณฑ์คนมารับ แล้วกะเกณฑ์ให้พูดตามสคริปต์มันไม่ธรรมชาติ ที่สำคัญคือการระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งจังหวัดเพื่อมาดูแลความปลอดภัย ในฐานะจังหวัดท่องเที่ยว ควรที่จะใช้กำลังพลเหล่านั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่าที่จะต้องมาเสียเวลาทั้งวันเพื่อการได้ไปพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากระบาย แล้วก็เปิดตูดกลับมาโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ยิ่งมีการเปรียบเทียบกับ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ยิ่งเห็นความต่างอย่างชัดเจน อย่าอ้างว่ามันคนละระดับ ในเมื่อบอกว่าเป็นผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเหมือนกัน การเข้าหาประชาชน การลงพื้นที่ก็ไม่ควรที่จะมีพิธีรีตอง ไม่ต้องมาป้องกันอะไรให้วุ่นวาย ทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าต้องการจะรับฟังปัญหาอย่างแท้จริงก็ต้องฟังจากคนที่มาชูป้ายเรียกร้อง ไม่ต้องบอกว่าคนเหล่านั้นไม่ไล่ ไม่ใช่ขอความช่วยเหลือ เพราะคนที่เดือดร้อนจริงก็มีแต่ถูกตีกันไม่ให้ได้พบท่านผู้นำ

ไม่ต้องถามว่าใครเป็นคนกีดกัน เมื่อต้องการที่จะได้เสียง แต่เสียงตะโกนให้สู้ ๆ อยู่ต่อไป อยู่นาน ๆ อยู่ยาวตามที่ตัวเองและองคาพยพสืบทอดอำนาจได้วางแผนกันมา ก็ไม่ต้องไปถามหาความสง่างามหรือการยอมรับจากประชาชนเจ้าของเสียงอย่างแท้จริง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะออกอาการหงุดหงิดเมื่อถูกถามถึงโพลของนิด้าที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตกกระป๋องกลายเป็นตัวเลือกลำดับ 4 ของคนจากกลุ่มตัวอย่างที่อยากจะให้เป็นผู้นำประเทศหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

แน่นอนว่า การอ้างแต่ละสำนักผลออกมาไม่เห็นเหมือนกัน ต้องย้อนถามกลับไปว่าโพลสำนักไหนที่สร้างความพึงพอใจให้กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เวลานี้สิ่งที่ต้องยอมรับความจริงกันก็คือ กระแสของความต้องการการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะคนส่วนใหญ่มองเห็นแล้วว่า 8 ปีที่อยู่ในอำนาจกันมานั้น นอกเหนือจากคนที่ได้เสวยสุขในเก้าอี้ และบรรดาผู้มีพระคุณซึ่งได้รับอานิสงส์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการเอื้อประโยชน์ต่อกันแล้ว ประชาชนทั่วไปมีแต่ความเดือดร้อนแสนสาหัสที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ขณะเดียวกัน การเมืองที่อ้างว่าเข้ามาเพื่อปฏิรูปให้ทุกอย่างไม่วกกลับไปเหมือนเดิม กลับกลายเป็นว่าหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะเรื่องการใช้ผลประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ตัวเองอยู่ในอำนาจได้นานที่สุด ไม่คำนึงถึงว่าประชาชนจะรู้สึกอย่างไร ประเด็นนี้หากเป็นฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาก็อาจถูกมองว่าเต็มไปด้วยอคติ แต่คนกันเองที่เคยรับใช้ใกล้ชิดยังรับไม่ได้ นั่นหมายความว่า การวิ่งเต้น กว้านซื้อตัวนักเลือกตั้งนั้นมีอยู่จริง

ตามที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “88 ปีธรรมศาสตร์กับสังคมไทย” เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครบรอบ 88 ปี เมื่อไม่กี่วันก่อน โดยคนที่เคยได้รับความไว้วางใจจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจให้เข้ามาบริหารงานด้านเศรษฐกิจตั้งแต่สวมหัวโขนหัวหน้า คสช.จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลสืบทอดอำนาจ มองว่า บ้านเมืองกำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ ๆ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นเงื่อนไขที่จำเป็น

สิ่งที่ต้องขีดเส้นใต้ แต่น่าเสียดายที่สมคิดความรู้สึกช้าไปกว่า 8 ปี เพิ่งมาสำนึกและมองเห็นคุณค่าของการต่อสู้ของฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะการที่เจ้าตัวบอกว่าสิ่งที่ทำกันมานั้นไม่เพียงพอจะทำให้ลูกหลานได้มาซึ่งอนาคตที่ดีกว่า แม้ชาวธรรมศาสตร์ต่อสู้มาตลอด 88 ปี คงไม่ต้องการเห็นประชาธิปไตยเวอร์ชันแจกกล้วยเป็นหวีอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ไม่อายฟ้าดินอย่างที่เป็นข่าว ถูกใช้เพียงเป็นเกราะในการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง

แม้จะเป็นความสำนึกที่ล่าช้า และได้นำพาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับอำนาจเผด็จการมาแล้วก็ตาม สิ่งที่สมคิดทิ้งท้ายไว้ก็น่าสนใจ ประชาธิปไตยถูกออกแบบให้สร้างความไม่เท่าเทียมทางการเมือง วันหนึ่งอาจนำไปสู่วิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ได้ ประชาธิปไตยแบบนี้คนรุ่นใหม่รับไม่ได้ ก็พยายามต่อสู้ให้ได้ประชาธิปไตยเป็นของปวงชน และขอให้เป็นกำลังสำคัญอันยิ่งใหญ่ในการต่อสู้ขับเคลื่อน สร้างกระแส สร้างอนาคตที่ดีในมิติอื่นด้วย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ

หวังว่าการพูดบนเวทีเช่นนี้คงไม่ได้มุ่งหวังที่จะไปเพิ่มคะแนนนิยมให้กับพรรคของพวกตัวเองที่เพิ่งก่อตั้ง และประกาศอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่สนับสนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่สมคิดทิ้งทวน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มองเห็นและสัมผัสกันได้อยู่แล้วตลอดระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้น ก็คือ ความเหลื่อมล้ำในสังคมที่เผด็จการสืบทอดอำนาจอ้างว่าจะเข้ามาทำให้คนเท่าเทียมกัน แต่สมคิดที่เคยร่วมสังฆกรรมกันมาก่อนบอกว่า ปัญหานี้หนักหนาสาหัสที่สุด “ความไม่เท่าเทียมเหมือนระเบิดที่รอเวลาเท่านั้น”

นี่คือการตอกย้ำคำพูดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ย้ำนักย้ำหนาจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ประชาชนจะต้องมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน แต่จนถึงเวลานี้นอกจากมองหาอนาคตไม่เจอ คนส่วนใหญ่ยังได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากภาวะค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ไม่ต้องพูดถึงราคาน้ำมันที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อสถานการณ์ในต่างประเทศมองเห็นทิศทางที่มีแต่จะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลซึ่งผู้นำขันอาสาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองต้องมีแนวทางที่จะดูแลความเดือดร้อนของประชาชนที่ชัดเจนและเห็นผลโดยเร็ว

ปัญหาที่ประดังประเดเข้ามา โดยไม่มีทีท่าว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะสามารถแก้ไขได้อย่างไรนี่เอง เป็นผลทำให้กระแสการเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเริ่มดังขึ้นต่อเนื่อง ผลจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ตามต่อด้วยผลโพลที่ชูตัวบุคคลให้มาเป็นคู่แข่งกับท่านผู้นำ นั่นหมายถึง ฝ่ายตรงข้ามและอาจรวมถึงพวกที่ยังจับมืออยู่ในอำนาจกันอยู่เวลานี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะมีการประกาศตัวกันให้สังคมรับรู้ว่า เลือกตั้งครั้งหน้าต้องช่วยกันโค่นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและองคาพยพลงจากอำนาจให้ได้

Back to top button