ยอดเด้งต่ำลง

อันที่จริง “โมนิก้า” อยากเห็นดัชนีเด้งขึ้นอย่างถาวร แต่สุดท้ายก็ไม่อาจฝืนความจริงที่ว่า ปัจจัยรอบด้านไม่เอื้อให้นักลงทุนลุยแบบสุดซอย


*อันที่จริง “โมนิก้า” อยากเห็นดัชนีเด้งขึ้นอย่างถาวร แต่สุดท้ายก็ไม่อาจฝืนความจริงที่ว่า ปัจจัยรอบด้านไม่เอื้อให้นักลงทุนลุยแบบสุดซอย และส่งผลให้การเคลื่อนตัวของดัชนีในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2565 เป็นไปในลักษณะ W-Shape โดยมีกรอบการการเคลื่อนไหวหลักอยู่ที่ 1,600-1,700 จุด ขณะที่ 2 เดือนล่าสุด ดัชนีเริ่มออกอาการเป๋ให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับทำโลว์ใหม่ให้เห็นตลอดเวลานะจะบอกให้

*ไล่เลียงตั้งแต่ระดับ 1,580 จุด ต่อมาเป็นระดับ 1,550 จุด และล่าสุดลงไปถึง 1,530 จุด ขณะที่จุดเด้งขึ้นในแต่ละรอบก็ต่ำลงเช่นกัน เริ่มตั้งแต่ระดับ 1,665 จุด ถัดจากนั้นอยู่ที่ระดับ 1,596 จุด “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดของดัชนีที่ระดับ 1,562.37 จุด บวกไป 20.58 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.59 หมื่นล้านบาท เป็นการเด้งแล้วลงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไหมเอ่ย? หรือเป็นการเด้งขึ้นยาวเพื่อไปยืนเหนือยอดครั้งก่อนเจ้าค่ะ

*เหล่านี้เป็นภาพระยะยาวที่ “โมนิก้า” ต้องการสื่อสารให้นักเล่นได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็เป็นการบอกเล่าสถานการณ์คนที่เล่นสั้นต้องมีความไวพอสมควร เพราะเกมหุ้นเที่ยวนี้เป็นการเล่นหุ้นขาลง ซึ่งมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเป็นประจำ (บางวันขึ้นแรง บางวันลงแรง) เดี๊ยนจึงไม่คาดหวังอะไรมากกว่าที่เห็นกันอยู่ เพราะมันมีแต่เรื่องที่ทำให้ห่อเหี่ยวภายหลังประจำ (ฝรั่งตัวแสบชอบแอบดันหุ้นตอนลงมาลึก ๆ ต่อจากนั้นก็สาดทิ้งตอนกำลังขึ้นไปสวย ๆ) น่ะซี

*เหมือนกับอาการพุ่งพรวดพราดของหุ้น CPALL ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำท่าจะขึ้นไม่ไหว “โมนิก้า” ถึงแปลกใจที่เห็นราคาหุ้นทะยานขึ้นมาปิดที่ 64 บาท บวกไป 2 บาท หรือขึ้นไป 3.23% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.03 พันล้านบาท ซึ่งเป็นภาพที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ทุกคนรับรู้มาตลอดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาว่ากำลังหด! จึงอยากให้นักเล่นมองยอดแรกที่บริเวณ 66 บาทก็พอ เพราะสูงไปกว่านั้นมันคือโอเวอร์นะคะ

*ขนาดหุ้นแบงก์ตัวแรงอย่าง KTB ยังถูกถล่มขายไม่ไว้หน้า จนราคาหุ้นทิ้งตัวลงมาปิดที่ระดับ 14.70 บาท ลบไป 0.60 บาท หรือลงไป 3.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.63 พันล้านบาท เหมือนเป็นการบอกให้รู้ว่า ราคาหุ้นถึงทางตันแล้วจริง ๆ และแรงขายที่ออกมาอย่างหนาแน่นก็เป็นเรื่องน่าหนักใจสำหรับคนที่กำลังจะช้อนซื้อ เพราะโมเมนตัมของการเล่นเที่ยวนี้มันไม่เอื้อให้เสียเลยพะยะค่ะ

*ประเด็นดังกล่าวคล้ายกับสถานการณ์ของน้องแบม BAM ซึ่งพยายามตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ลืมไปว่านักเล่นเม้าท์สนั่นหวั่นไหว ในทำนองภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ บริษัทจะปล่อยของชิ้นใหญ่ได้สักกี่ชิ้น! จึงกลายเป็นเรื่องที่น่าคิดเหลือเกินว่า การยืนปิดที่ระดับ 16.70 บาท บวกไป 0.30 บาท หรือขึ้นไป 1.83% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 170 ล้านบาท น่าเล่นตามน้ำมากขนาดไหน? เพราะยังมีเรื่องที่ค้างคาใจเยอะเหลือเกินนะจ๊ะ

*คล้ายกับการเด้งขึ้นของหุ้นคอมพิวเตอร์ COM7 ก็มีเรื่องที่ต้องคิดเยอะอีกเช่นกัน เพราะการขึ้นมาปิดที่ระดับ 28 บาท บวกไป 0.75 บาท หรือขึ้นไป 2.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 565 ล้านบาท ท่ามกลางราคาหุ้นอยู่ในทิศทางขาลงเป็นแรมเดือน มันชวนให้เชื่อว่า นี่คือการเด้งเพื่อลงมากกว่าประเด็นอื่น เดี๊ยนถึงอยากให้แฟน ๆ ลองประเมินการเล่นหุ้นเที่ยวนี้อยู่บน P/E 23 เท่า มันเวิร์กจริงไหมเอ่ย?

*ส่วนรายที่น่าเล่นอย่างหุ้น PTTGC ก็กลายเป็นหุ้นที่ไม่มีใครกล้าช้อนซื้อ ทั้งที่เห็นกันทนโท่ว่า BV ของหุ้นอยู่สูงถึงระดับ 70 บาท ขณะที่ราคาหุ้นในกระดานวานนี้อยู่ที่ระดับ 44.75 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 1.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 483 ล้านบาท “โมนิก้า” ถึงมั่นใจมากเหลือเกินว่า หากราคาหุ้นลงมาต่ำกว่าที่เห็น นั่นคือโอกาสของการซื้อของถูก เพราะในตำราของการลงทุนก็บอกไว้ชัดเจนว่า ในอนาคตหุ้นจะสะท้อนแวลูที่แท้จริงออกมาเองจ้า!

*ปิดท้ายกันที่การคัมแบ็กของหุ้น KEX กันดีกว่า เพราะการทะยานแรงเป็นวันที่ 2 ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 26 บาท บวกไป 2 บาท หรือขึ้นไป 8.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 724 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของความเชื่อที่เกี่ยวกับการ “พลิกกำไร” พวกนกรู้ถึงกระโจนใส่มือเป็นระวิง จึงมีโอกาสเห็นหุ้นวิ่งต่ออีกระยะหนึ่ง ส่วนจะวิ่งได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกำไรมาตามนัดไหม?..อิอิอิ

Back to top button