กำไรหุ้นธนาคารชะลอตัวลง

การที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยังคงมีกำไรสุทธิต่อเนื่องก็ยังถือว่าเป็นข่าวดี เพราะแม้จะเห็นได้ชัดเจนว่ามีการชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก


หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ในยามปกติจะประกาศงบการดำเนินงานงวดครึ่งแรกของปีก่อนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ เพราะเป็นไปตามกฎของธปท. ยังคงอืดอาจเช่นเดียวกับ 2 ปีที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะกำไรเติบโตไม่สวยงามเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ แต่ว่าไปแล้วการที่หุ้นกลุ่มนี้ ยังคงมีกำไรสุทธิต่อเนื่องก็ยังถือว่าเป็นข่าวดี เพราะแม้จะเห็นได้ชัดเจนว่ามีการชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก

กำไรที่ชะลอจากไตรมาสแรก มาจาก 3 ปัจจัย คือ รายได้ค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) จากตลาดทุนลดลงทั้งจากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.), ที่เป็นเครือข่าย ลดลง และค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน ที่เพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งทะยานขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อของระบบเศรษฐกิจ และ การตั้งสำรองหนี้ที่ยังเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ผันผวนในครึ่งปีหลัง ซึ่งอย่างหลังสุดนี้อาจจะมีการกลับรายการลงไปได้หากว่าการตั้งสำรองลดลง

อัตรากำไรสุทธิที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ยังคงเป็นจุดเด่นที่ทำให้นักวิเคราะห์ทุกสำนักแนะนำให้ซื้อสะสมเข้าพอร์ต เพราะราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังต่ำกว่าบุ๊กแวลูค่อนข้างมาก

ข้อมูลจากการทำประมาณการผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2565 ของธนาคารพาณิชย์ครอบคลุม 7 แห่ง หรือtop7 คือ ธนาคารกรุงเทพ (BBL), ธนาคารกสิกรไทย (KBANK), ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP), ธนาคารกรุงไทย (KTB), ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB), ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) และ บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) นักวิเคราะห์ทุกสำนัก คาดการณ์กำไรสุทธิรวมจะอยู่ที่  42,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 4.5% จากไตรมาสก่อนหน้า

ทิศทางที่โดดเด่นของหุ้นกลุ่มนี้ที่แม้จะประกาศงบออกมาไม่ครบถ้วน แต่คาดเดาไว้ก่อนว่า ทิศทางผลประกอบการที่ดีต่อเนื่องสำหรับแบงก์ที่ไม่ได้มีพอร์ตรายย่อยมากนัก เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 159 บาท และ แบงก์ที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงอย่าง ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ให้ราคาเหมาะสมที่ 106 บาท รวมถึง ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ที่มีผลประกอบการโตต่อเนื่อง โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 174 บาท

ผู้บริหารของสำนักวิเคราะห์ชั้นหัวแถวของบล.ทั้งหลายจึงออกมาฟันธงกันแบบสูตรสำเร็จว่าธุรกิจธนาคารเป็นกลุ่มที่พ้นจากจุดต่ำสุดของการแพร่ระบาดของโควิด-19

กลุ่มทิสโก้ ยังคงเป็นหุ้นที่รายงานงบเร็วที่สุดต่อไป โดยรายงานว่างบครึ่งแรกปี 2565 มีกำไรสุทธิ 3,644 ล้านบาท เติบโต 6.2% ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ให้แค่ 4.3% เนื่องจากการกลับมาเติบโตของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค การฟื้นตัวของธุรกิจนายหน้าประกันภัย และการตั้งสำรองทางเครดิตที่ลดลง ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น จากผลพวงของแผนการขยายสาขา ‘สมหวัง เงินสั่งได้’ ในธุรกิจเช่าซื้อที่มาแรงสุดในยามตลาดผันผวน

ส่วนธนาคารรายใหญ่อย่าง KBANK ที่กำไรสุทธิแซงหน้ามาอยู่ที่อันดับหัวแถวตั้งแต่ปีก่อน ยังคงมีกำไรสวยงามต่อไป ทั้งจากการดำเนินงานปกติและจากวิศวกรรมการเงินซึ่งจับมือ บมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ร่วมทุนจัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์สร้างบริษัทร่วม (JK AMC) แล้วให้ทางด้าน KBANK จะขายหนี้เสียให้ JK AMC มูลค่า 30,000 ล้านบาททำให้เอ็นพีแอลลดลง แล้วมีกำไรกลับตื่นมาในไตรมาสที่สี่อีกต่อหนึ่งจากบริษัทร่วมทุนจากการบริหารหนี้ที่ยังไงก็มีกำไรงดงาม

NPL ที่ลดลงฮวบฮาบของ KBANK นี้นอกจากจะช่วยให้กำไรของ KBANK เพิ่มในไตรมาสที่สามและสี่ แล้ว ยังช่วยให้ NPL ของหุ้นกลุ่มแบงก์โดยรวมลดลงตามไปด้วย ทำให้การคาดเดาเรื่องกำไรสุทธิไตรมาสสองหรืองวดกลางปีดีตามไปด้วยทั้งที่ยังไม่รวมการขายทิ้งหนี้เน่าที่จะบันทึกในไตรมาสสาม

นักวิเคราะห์คาดเดาว่าในไตรมาสสองนี้ คาด KBANK กำไรโตสุด 1.2 หมื่นล้าน รับสินเชื่อโต-รายได้ดอกเบี้ยพุ่ง ทำให้คาดหมายว่าจะเป็นหุ้นมีกำไรเด่นสุดต่อไปในกลุ่มนี้

สถานการณ์หนี้เสียที่ยังทรงตัว ทำให้การตั้งสำรองลดลง และอยู่ใกล้กับไตรมาสแรกที่ผ่านมา

รวมถึงยังได้รับผลบวกจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ ที่ยังบวกต่อเนื่อง จากสินเชื่อที่ขยายตัวต่อเนื่อง  คำแนะนำการลงทุน มองว่ากลุ่มแบงก์ มีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง จากผลบวกเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ดังนั้นจึง  ให้น้ำหนักกลุ่มแบงก์เท่าตลาด โดยเฉพาะแบงก์ใหญ่ ที่มีความได้เปรียบจากการขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า

การที่นักวิเคราะห์ร่วมแรงเชียร์เสมือนนัดหมายกันให้ซื้อสะสมและผลประกอบการจริงยังแข็งแกร่งและราคาหุ้นที่ต่ำกว่าบุ๊กแวลูค่อนข้างมาก น่าจะเป็นตัวถ่วงรั้งขาลงของดัชนีตลาด SET ได้ในระดับสำคัญ

อย่างน้อยก็ติดพอร์ตบางส่วนก็น่าจะเป็นความปลอดภัยที่จับต้องได้

Back to top button